![]() |
|||||
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
ถึงเดือนสี่ปีสุดจะตรุษใหม่ |
ยังไม่ได้นุชนาฏที่ปรารถนา |
ฟังเสียงปืนยืนยัดอัฏฏะนา |
รอบมหานัคเรศนิเวศน์วัง |
ถ้าความทุกข์เราดังเหมือนยังปืน |
พิภพพื้นก็จะไหวเหมือนใจหวัง |
นวลหงส์คงจะรู้ถึงหูดัง |
จะนอนฟังทุกข์พี่ไม่มีเว้น |
ทุกวันคืนเดือนปีไม่มีหยุด |
พี่แสนสุดทุกข์ใจใครจะเห็น |
ในทรวงซ้ำเหมือนเขาเชือดเลือดกระเด็น |
ใครจะเห็นเช่นข้าทั้งธานี |
ความรักนุชสุดหลงพะวงจิต |
จนลืมคิดญาติกาน่าบัดสี |
ลืมบิดรมารดาทั้งตาปี |
เหมือนไม่มีกตัญญูดูเถิดเรา |
พอใจรักแม่เลี้ยงว่าเสียงเพราะ |
เฝ้าฉอเลาะก็ไม่ได้อะไรเขา |
รักคนอื่นลืมตัวจนมัวเมา |
อุตส่าห์เฝ้าไม่ไปข้างไหนเลย |
จะได้หรือมิได้ให้รู้แน่ |
เห็นจะแก่เสียเปล่าแล้วเราเอ๋ย |
สงสารใจใจคิดจะชิดเชย |
สงสารตัวตัวเอ๋ยจะเอกา |
สงสารมือมือหมายจะก่ายกอด |
สงสารปากปากพลอดให้หนักหนา |
สงสารอกอกโอ้อนิจจา |
ใครจะมาแอบอกให้อุ่นใจ |
สงสารหลังหลังหมายจะให้จุด |
สงสารสุดเวทนาน้ำตาไหล |
สงสารตาตาพี่แต่นี้ไป |
จะดูใครต่างเจ้าจะเปล่าตา |
โอ้อกเรามีกรรมทำไฉน |
จึงจะได้แนบชิดขนิษฐา |
ได้แต่ชื่อไว้ชมตรมอุรา |
ถึงได้ผ้าไว้ห่มก็ตรมใจ |
ถึงได้แหวนไว้ชมก็ตรมจิต |
ไม่เหมือนได้มิ่งมิตรพิสมัย |
ได้ของอื่นหมื่นแสนในแดนไตร |
ไม่เหมือนได้นิ่มน้องประคองนอน |
จะว่าโศกโศกอะไรที่ในโลก |
ไม่เท่าโศกใจเหมือนหนักรักสมร |
จะว่าหนักหนักอะไรในดินดอน |
ถึงสิงขรก็ไม่หนักเหมือนรักกัน |
จะว่าเจ็บเจ็บแผลพอแก้หาย |
ถ้าเจ็บกายแล้วชีวาจะอาสัญ |
แต่เจ็บแค้นนี่แลแสนจะเจ็บครัน |
สุดจะกลั้นสุดจะกลืนขืนอารมณ์ |
จะว่าขมขมอะไรในพิภพ |
ไม่อาจลบบอระเพ็ดที่เข็ดขม |
ถึงดาบคมก็ไม่สู้คารมคน |
จะว่าลมลมปากนี้มากแรง |
จะว่าเมาเมาอะไรก็ไม่หนัก |
อันเมารักเช่นนี้มีทุกแห่ง |
เกิดยุ่งยิ่งชิงกันถึงฟันแทง |
ใครพลาดแพลงล้มตายวายชีวา |
บ้างชกต่อยกันบอบลอบตีหัว |
เขาจับตัวใส่คุกทุกข์หนักหนา |
อันโกรธขึ้งหึงกันทุกวันมา |
เพราะตัณหาตัวเดียวมันเรี่ยวแรง |
จนพระเณรเถรตู้อยู่ไม่ได้ |
สึกออกไปซัดเพลาะเที่ยวเสาะแสวง |
บ้างร้อนตัวกลัวจะอดเหมือนมดแดง |
นอนตะแคงคว่ำหงายวุ่นวายใจ |
บ้างก็แต่งเพลงยาวไปน้าวโน้ม |
ว่ารักโฉมมิ่งมิตรพิสมัย |
พอลงเอยให้แม่สื่อถือเอาไป |
แต่ละใบราคาถึงตำลึงทอง |
บ้างถูกแม่สื่อหลอกปอกเอาหมด |
เจ็บอกอดอับอายเสียดายของ |
ถ้าแม่สื่อซื่อตรงคงได้ครอง |
เป็นหอห้องเรือนเรือตามเชื้อวงศ์ |
บ้างรักเขาข้างเดียวลงเคี่ยวเข็ญ |
บ้างก็เป็นสังฆการีสึกชีสงฆ์ |
วิสัยพระทุกวัดขัดทุกองค์ |
ถ้าลาภตรงมาหาเปลื้องผ้าไตร |
บ้างก็ถูกลมหลอกออกมาเก้อ |
ชักสะพานแหงนเถ่อน้ำตาไหล |
ไม่ได้เมียเสียของร้องเอาใคร |
กลับบวชใหม่สวดมนต์ไปจนตาย |
เขาว่าพระคราวนั้นก็ขันอยู่ |
บวชเณรรู้ไว้เป็นศิษย์ดังจิตหมาย |
ท่านจับสึกสักหน้าพากันอาย |
พวกหญิงชายลือดังทั้งพิภพ |
เพราะโลกีย์ฟั่นเผือเหลือสละ |
แต่เป็นพระแล้วยังคิดผิดขนบ |
นี่หรือคฤหัสถ์จะไม่โลภละโมบมบ |
ให้ปรารถเรื่องผู้หญิงประวิงวน |
จะพรรณนาว่าไปไหนจะหมด |
เหลือกำหนดนับไม่เสร็จเหมือนเม็ดฝน |
มิใช่ฉันหยาบช้าแกล้งว่าคน |
อย่าร้อนรนร้าวรานรำคาญเคือง |
ฉันคนชั่วตัวโศกเป็นโรครัก |
อกจะหักเสียด้วยตรอมจนผอมเหลือง |
สวาทหวังตั้งจิตเป็นนิตย์เนือง |
จึงแต่งเรื่องรักไว้ให้คนฟัง |
ไว้อ่านเล่นเป็นที่ประกันทุกข์ |
ให้ผาสุกตามประสาที่บ้าหลัง |
ท่านทั้งหลายชายหญิงอย่าชิงชัง |
ฉันต่อตั้งแต่งความตามทำนอง |
อันเรื่องราวตัณหานี้สาหัส |
ถ้าใครตัดเสียได้ฉันให้ถอง |
อุตส่าห์หัดวิชาหาเงินทอง |
ก็เพราะของสิ่งเดียวมันเกี่ยวกวน |
ถึงยากจนซนหาประสายาก |
ที่มีมากตั้งกองครองสงวน |
บ้างก็ชอบชาววังรังกระบวน |
เนื้อก็นวลเสียงก็หวานขานก็เพราะ |
ที่เต็มอัดกลัดมันกลั้นไม่หยุด |
ก็รีบรุดเร็วรัดไปวัดเกาะ |
เป็นเงินแดงแย่งยุดฉุดเอาเพลาะ |
เถียงทะเลาะวุ่นวายไม่อายกัน |
เพราะโลกีย์เจ้ากรรมแกทำเข็ญ |
เผอิญเป็นทั่วโลกให้โศกศัลย์ |
ถึงเทวบุตรภุชงค์พงศ์สุบรรณ |
ก็เหมือนกันกับเราที่เศร้าใจ |
ถ้ารักกันลั่นเปรี้ยงดังเสียงฟ้า |
หูจะชาเสียด้วยดังฟังไม่ไหว |
แต่เงียบเงียบสิยังอึงคะนึงไป |
ราวกับไฟไหม้ฟางสว่างโพลง |
ถ้าคนอื่นตรึกตรองก็ต้องที่ |
แต่เรานี้วุ่นวายแทบตายโหง |
ก็มิได้สายสมรนอนคลุมโปง |
ยังดังโด่งพลอยเขาน่าเศร้าใจ |
แต่นั่งตรึกนอนตรึกนึกถึงน้อง |
แม้นจะรองชลนาสักห้าไห |
ถ้าใครแย่งแกล้งพาขวัญตาไป |
คงจะใส่เสียให้ยับไม่นับชิ้น |
จะถากเชือดเลือดเนื้อเอาเกลือประ |
สับศรีษะเสียให้สมอารมณ์ถวิล |
จะทิ้งให้กาแร้งมันแย่งกิน |
จึงจะสิ้นความแค้นแน่นอุรา |
เอ๊ะอะไรใจจิตคิดฉะนี้ |
ไม่ควรที่โกรธขึ้งด้วยหึงสา |
จะเป็นเวรเปล่าเปล่าไม่เข้ายา |
จิตหนาอย่าอำมะหิตให้ผิดคน |
เมื่อรักเขาเล่าก็รักอยู่นิ่งนิ่ง |
ถึงใครชิงนางงามตามกุศล |
ถ้าคู่แท้แลจะไปข้างไหนพ้น |
อย่าร้อนรนไปนักจงหักใจ |
ครั้นคิดให้หายหึงไม่ขึ้งโกรธ |
ค่อยปราโมทย์ยิ้มย่องสนองไข |
ที่จริงจิตฉันไม่กล้าจะฆ่าใคร |
ตั้งหม้อใหญ่ไว้กระนั้นดีฉันเอง |
แต่ความรักรักจริงไม่ทิ้งรัก |
ยังไม่หักได้ก่อนลงนอนเขลง |
น่าหัวร่อหนอเราไม่เข้าเพลง |
พูดเอาเองเออเองออกวุ่นวาย |
ด้วยความรักหนักแน่นแสนจะคลั่ง |
เหลือกำลังที่จะหักให้รักหาย |
ถ้าสมรักนั่นแลฉันพลันสบาย |
ไม่เหมือนหมายแล้วเห็นไม่เป็นคน |
ทำกระไรโฉมเฉลาจะเข้าใกล้ |
ฉันจะได้ฝากรักเสียสักหน |
ขอเป็นข้านางงามไปตามจน |
จะสู้ทนทุบถองให้น้องใช้ |
ยิ่งรำพันปั่นป่วนรัญจวนจิต |
ถ้าแม้นผิดที่นี้แล้วที่ไหน |
เหมือนหมายไม้กลางป่าพนาลัย |
สุดจะหมายที่จะมุ่งผดุงปอง |
จะเอาจริงอย่างไรไม่ได้แน่ |
ให้มีแต่ทรัพย์นึกไม่ตรึกถอง |
ถ้านึกได้เหมือนนึกที่ตรึกตรอง |
จะนอนร้องละครเล่นให้เย็นใจ |
นึกนึกแล้วก็เปล่าเรายิ่งวุ่น |
เจ้าประคุณน้ำตาพากันไหล |
ท่านเจ้าจอมหม่อมจิตนี้คิดไป |
แสนอาลัยเพียงกายจะวายชนม์ |
เต็มกระเดือกเสือกกระแด่วอยู่แล้วหนอ |
จะสู่ขอสารพัดจะขัดสน |
จะกระโจมโถมเอาเราก็จน |
ครั้นจะทนอยู่เล่าเราก็ทุกข์ |
ไม่ได้ตามความรักเลยสักท่า |
ทุกทิวาราตรีไม่มีสุข |
เฝ้ารบรบเร้าเร้าจนเขาลุก |
โอ้แม่ตุ๊กตางาไม่ปรานี |
จำจะแต่งเพลงยาวไปน้าวโน้ม |
ว่ารักโฉมนพคุณจำรูญศรี |
งามละม่อมพร้อมสิ้นทั้งอินทรีย์ |
ตั้งแต่พี่ได้เห็นไม่เว้นคะนึงฯ |
จึงสอดส่งศุภอธรรถมาบัดนี้ |
ว่าสุดที่เจรจามาไม่ถึง |
แสนอาวรณ์ร้อนจิตดังกฤชตรึง |
ประดุจหนึ่งชีวันจะบรรลัย |
ไม่มีสุขทุกข์เท่าคีรีศรี |
เพราะไม่มีฝั่งฝาที่อาศัย |
ให้เปลี่ยวเปล่าเช้าเย็นไม่เห็นใคร |
ที่จะได้ชมชื่นทุกคืนวัน |
เห็นแต่น้องต้องใจพี่หมายพึ่ง |
อย่าสูญซึ่งไมตรีของดีฉัน |
อันตัวเรียมเหมือนกระต่ายที่หมายจันทร์ |
ถึงกระนั้นสุดแท้แต่ปรานี |
เอ็นดูด้วยช่วยดับระงับทุกข์ |
ให้เป็นสุขปรีดิ์เปรมเกษมศรี |
อันความรักหนักแน่นแสนทวี |
ไม่รู้ที่เปรียบปานสถานใด |
ทรามประโลมโฉมงามอย่าคร้ามจิต |
จงร่วมคิดร่วมรักอย่าผลักไส |
ถึงสุดสิ้นดินฟ้าอย่าสูญใจ |
อย่าตัดไมตรีเรียมให้เตรียมตรอม |
ถ้าได้ชมนิ่มน้องประคองขวัญ |
เหมือนได้นางในสวรรค์มาแนบถนอม |
มิให้ริ้นเลือดไรมาไต่ตอม |
พี่จะกล่อมให้นอนกับหมอนอิง |
ทุกวันคืนตื่นหลับจะรับขวัญ |
ไม่ผายผันห่างห้องแม่น้องหญิง |
จะม้วยด้วยเยาวยอดไม่ทอดทิ้ง |
เป็นความจริงแก้วตาอย่าตัดรอน |
ขอให้พี่ได้สมอารมณ์รัก |
พิศพักตร์ภิญโญสโมสร |
จงเล็งเห็นพี่ยาที่อาวรณ์ |
อย่าควรข้อนคิดแหนงแคลงอารมณ์ |
เป็นบุญนำจำเพาะเสาะมาพบ |
ก็ควรคบเคียงชิดสนิทสนม |
อย่าเบือนบิดคิดหนีให้พี่ตรม |
แม่ทรามชมจงมาเมตตาเอยฯ |
ครั้นแต่งสารเสร็จส่งถึงนงสักษณ์ |
แม่ยอดรักรู้แจ้งก็แกล้งเฉย |
ยิ่งเศร้าสร้อยน้อยใจกระไรเลย |
ไม่ได้เชยน้องแก้วแล้วกระมัง |
ยิ่งคิดไปใจหายไม่วายรัก |
รำพันนักก็จะว่าเป็นบ้าหลัง |
ที่ท่านชอบน้ำใจจะใคร่ฟัง |
ที่ท่านชังท่าจะด่าเป็นบ้ากาม |
ใครอย่าดูเยี่ยงข้าหนาพ่อแม่ |
ลำบากแท้ยิ่งกว่าหลงเข้าดงหนาม |
ถ้าใครรักประโลมลูบแต่รูปงาม |
บังเกิดความทุกข์นานรำคาญใจ |
ถ้ารักเขาเขาชังไม่หวังรัก |
ก็ทุกข์นักทุกหนาเลือดตาไหล |
ถ้าถ้อยทีถ้อยรักขี้มักไว |
คงจะได้เชยชิดสนิทกัน |
งามมิงามฉันไม่ว่าถ้าควรคู่ |
อุตส่าห์สู้โอบอ้อมถนอมขวัญ |
เขมรลาวชาวพม่าแลรามัญ |
ถ้ารักฉันฉันก็รักไม่พักวอน |
ที่กลางแห่งท่านก็ถือทำหือหา |
ต่างภาษาแล้วไม่ขอสโมสร |
บ้าเลือกไปเลือกมาปาเอามอญ |
ต้องง้องอนอิงแอบเขาแทบตาย |
ที่ไม่เลือกได้ดีก็มีถม |
ภิรมย์สมนุชนาฏไม่ขาดสาย |
ไม่ขัดสนพ้นที่จะอภิปราย |
ท่านทั้งหลายฟังรู้อยู่แก่ใจ |
ว่าด้วยเรื่องตัณหาแล้วน่าเกลียด |
ฉันขี้เกียจอธิบายน้ำลายไหล |
สำหรับโลกโศกศัลย์ทุกวันไป |
กว่าจะได้พระนิพพานสำราญครัน |
จะเวียนว่ายตายเกิดกำเนิดนับ | สักกี่กัปป์จึงจะสิ้นที่โศกศัลย์ |
กิเลศเก่าเมามัวเข้าพัวพัน | รัดกระสันฝูงสัตว์อยู่รัดรึง |
ทำกระไรจะได้รอดตลอดล่วง |
ให้พ้นห่วงตัณหาราคาขึง |
ฉันก็นึกเหนื่อยหน่ายหายคะนึง |
ให้คิดถึงชีวิตอนิจจัง |
เรื่องก็จบครบปีเดือนสี่สิ้น |
ใครอย่าได้นินทาว่าลับหลัง |
เอาเรื่องรักชักเหตุเทศน์ให้ฟัง |
ก็เอวังหมดทีเท่านี้เอยฯ |