พุทธศาสนาเชิงประวัติศาสตร

บทที่ 2 รากเหง้าอักษรภาษา

การเคลื่อนย้าย หรือการขยับขยายถิ่นที่อยู่ของผู้คนโบราณดังที่ได้กล่าวมาในบทที่1 ก่อให้เกิดการเคลื่อนย้ายทางภาษาด้วย ซึ่งนักประวัติศาสตร์ได้ข้อยุติกันว่า อักษรแม่บทเท่าที่ค้นพบก็คือ อักษรเฟนิเชียน และเป็นดังเหมือนร่างกายที่ต้องแยกออกเป็นเบื้องซ้ายและขวา ด้านหนึ่งกลายเป็นรากเหง้าภาษาอักษรฝรั่งต่างๆ อีกด้านหนึ่ง เป็นรากเหง้าของอักษรด้านตะวันออกของดินแดนอิหร่าน

ด้านตะวันออกนั้นเริ่มจากอักษรพราหมี แตกแขนกออกเป็น 2 แขนง คือ อักษรอินเดียฝ่ายเหนือ กับอินเดียฝ่ายใต้ แขนงของอินเดียฝ่ายใต้แตกออกเป็นอีก 2 แขนงคือ อักษรขอมโบราน กับอักษรมอญโบราณ อักษรขอมโบราณแตกออกเป็นอักษรขอมจารึกกับอักษรขอมหวัด ส่วนอักษรมอญโบราณแตกออกเป็น อักษรไทยเดิม อักษรอาหมและอักษรลื้อและอักษรลานนาไทยฝั่งหนึ่ง กับอักษรมอญโบราณแตกออกเป็นอักษรพม่ากับอักษรไทยใหญ่

สำหรับอักษรไทย(สุโขทัย)นั้นศาสตราจาย์ยอร์ซ เซเดส์ว่า เป็นการผสมระหว่างอักษรขอมหวัด ที่มาจากฝั่งอักษรขอมโบราณ ผสมกับอักษรไทยเดิมที่มาจากอักษรมอญโบราณ ก่อนที่จะก่อกำเนิดเป็นอักษรสยาม อักษรล้านช้าง และอักษรไทยตังเกี๋ย

เมื่อกล่าวถึงภาษาแล้วขอแทรกตรงนี้ด้วยว่า "ภาษาบาลี"ที่เรียกกันทุกวันนี้ ความจริงแล้วไม่นับเป็นภาษา เพราะภาษาในพระคัมภีร์ศาสนาพุทธนั้น เขียนด้วยภาษามคธซึ่งเป็นภาษาของชาวคธราษฎร์ในอินเดีย และเหตุที่เรียกกันว่า"บาล"ีมีต้นเหตุมาจาก เป็นข้อความที่เขียนบรรทึกเกี่ยวกับพุทธศาสนา ซึ่งเรียกให้สูงขึ้นไปนั่นเอง คนโบราณถ้าเอ่ยคำว่า"บาลี"ย่อมเข้าใจว่า ถ้อยคำ หรือเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับคัมภีร์พุทธนันเอง

สยามประเทศในอดีตก็เคยจดจารึกคัมภีร์พระไตรปิฎกเป็นภาษามคธเช่นกัน และการจดสมัยก่อนจะใช้อักษรเขมร ต่อมาในยุคหลังจึงหันมาใช้อักษรสยามแทน เพื่อลดความจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ตัวอักษรเขมรออกไป แต่ถึงกระนั้นก็ดี ก็ยังหลงเหลือร่องรอย โดยมีเครื่องหมายที่แตกต่างออกไปจากอักษรสยามด้วย ส่วนภาษาสันสกฤตนั้นพราหมณ์จะใช้กัน อย่างไรก็ดีปรากฎว่า ในอดีตนั่นก็มีบ้างเช่นกันที่จดบันทึกด้วยภาษาสันสกฤต

สมัยรัชกาลที่1คราวที่โปรดฯให้ทำสังคายนาพระไตรปิฎก พระพิมลธรรม(สมเด็จพระพนรัตน์ วัดพระเชตุพนในเวลาต่อมา(พระอาจารย์สมเด็จกรมพระปรมานุชิตชิโนรส)) ได้แต่งหนังสือสังคีติยวงศ์ เฉลิมพระเกียรติยศ ซึ่งหนังสือเล่มนี้ เป็นพงศาวดารเรื่องประวัติพุทธศาสนา กับพงศาวดารบ้านเมืองประกอบกัน และแต่งด้วยภาษามคธ

กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงแสดงความเห็นว่า ที่แต่งเป็นภาษามคธก็สืบเนื่องจาก ต้องการรักษาพระไตรปิฎกอันเป็นหลักพระศาสนาไว้ ตามรอยพระอรหันต์พุทธสาวก ที่ได้ทำสังคายนาไว้เป็นภาษามคธ และด้วยเกรงว่า ถ้าแปลพระไตรปิฎกไปเป็นภาษาอื่น พระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน จะวิปลาศคลาดเคลื่อน บรรดาประเทศที่ถือพุทธศาสนาตามลัทธิสาวกยาน พระสงฆ์เถรานุเถระผู้จะทรงพระศาสนาไว้ จำต้องเรียนรู้ภาษามคธ และเพื่อศึกษาพระไตรปิฎกด้วยกันทุกประเทศ ประเทศใดความรู้ภาษามคธเสื่อมทราม พระพุทธศาสนาในประเทศนั้นก็เชื่อว่าเศร้าหมอง

ด้านคัมภีร์พระเวทที่กล่าวถึงในบทที่หนึ่งนั้น บันทึกด้วยภาษาอักษรพราหมี ซึ่งเป็นอักษรหนึ่ง ที่เก่าแก่ของโลก นั่นเอง

ดร.จอรจส์ เซเดสเขียนเล่าไว้ว่า เดิมชาติอารยะมีถิ่นฐานในยุโรปภาคตะวันออก แถบทะเลคัสเปียน และทะเลดำ จากถิ่นเดิมได้แผ่ออกไปทั้งทางทิศตะวันออกและตะวันตก พวกตะวันตกไปตั้งภูมิลำเาอยู่ในยุโรป แล้วกระจายออกไปเป็นชาติ สลาฟ ชาติติวตอน และโรมานิก และอื่นๆ พวกตะวันออกลงมารุ่งเรืองแถบอิหร่าน แล้วกระจายออกมาทางอินเดียว ซึ่งเดิมก็มีชนชาติอื่นอยู่อาศัยก่อนอยู่แล้ว

เข้ามาอินเดียทางช่องเขาฮินดูกูษ แล้วเหล่าอารยะได้แผ่ต่อ ลงไปจากศูนย์กลางบริเวณที่เรียกว่า ปัญจนที สู่เบื้องตะวันออกก่อน จนมาตั้งถิ่นใหญ่อยู่ตามลุ่มน้ำคงคา อันได้ชื่อต่อมาในพระบาลี ของ พุทธศานาว่า "มัธยมประเทศฯ และพวกฮินดูเรียกว่า "ภารตวรรษ" และในยุคนี้เอง เป็นยุคที่ก่อให้เกิดเรื่องราว "รามเกียรติ์"เล่าสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน

(HOME) (เล่าเรื่องคอมฯ) (วิจารณ์) (อยากเป็นนักข่าว) (พุทธศาสนาฯ) (NEXT)

1