พุทธศาสนาเชิงประวัติศาสตร

บทที่ 3 พราหมณ์

พราหมณ์นั้นเกิดก่อนพุทธกาล และแสดง"พรหมา"เป็นมูลเดิมของโลก เรียกว่า "อัตตา" หรือ"อาตมัน" ซึ่งเป็นนามธรรม คำว่า"พรหม"ไม่ใช่ตัวบุคคล และไม่ว่าโลก หรือ สิ่งอื่นๆ ที่มีที่เห็น ล้วนแยกออกจากพรหม เขาเชื่อกันว่า หนทางแห่งสันติสุขของมนุษย์ก็คือ ต้องเข้าอยู่ในพรหม มนุษย์ที่ตกอยู่ในสังสารวัฏ ต้องเวียนว่ายตายเกิด เนื่องเพราะกรรม จึงไม่สามารถเข้าถึงพรหมได้ มนุษย์จักต้องเห็นแจ้งในพรหมญาณ จึงจะบรรลุนิรวาส หรือ โมกษะธรรมเข้าอยู่ในพรหมได้

ผู้เขียนเคยพบภาพถ่ายอยู่ในหนังสือเล่มหนึ่ง เป็นภาพถ่าย ที่เก็บภาพมาจาก ภาพวาด ในวัดพระแก้ว และบรรยายใต้ภาพว่า"พรหมลูกฟัก" ลักษณะคล้ายๆ ลูกฟักจริง ๆ ซึ่งก็น่าสนใจ ที่ชาวพุทธก็กล่าวถึง"พรหม"ด้วย และมีข้อสังเกตุว่า ความเชื่อของทางพุทธ จะกล่าวสิ่งที่มีอยู่ในความเชื่อของพราหมณ์เสมอ

อาทิ เมื่อครั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเปิดโลก พระพุทธเจ้าเสด็จลงจกาเทวโลก ทาง บันไดแก้วมณีมัย ท้าวสักกะลงบันไดทอง ท้าวสหัมบดีพรหม กับหมู่พรหมจำนวนมาก ลงบันไดเงิน เป็นต้น

บางคนอาจจะนึกถึงคำว่า"อัตตา"หรือ"อนัตตา"ในศาสนาพุทธ นี่ก็ฟังดูคล้ายคลึงกันเช่นกัน ภิกขุ พุทธทาส อินทปัญโญได้กล่าวถึง พระนิพพานว่า พระนิพพานไม่ใช่เป็นจิ ไม่ใช่เป็นเจตสิก หรือสิ่งที่เกิดขึ้นกับจิต โดยอาศัยจิตนั้น, ไม่ใช่มีรูปร่าง เป็นก้อน เป็นตัว อันเป็นประเภทรูปธรรม, ไม่ใช่บ้านเมือง ไม่ใช่ดวงดาว หรือดวงโลก โลกใดโลกหนึ่ง และยิ่งกว่านั้น พระนิพพาน ไม่ใช่สิ่งที่มีความเกิดขึ้นมา, ไม่ใช่สิ่งที่มีความดับลงไป หรือทั้ง เกิดทั้งดับสลับกันไปในตัว แต่พระนิพพาน เป็นสภาวะแห่งธรรมชาติชนิดหนึ่ง และเป็นสิ่งเดียวเท่านั้น ที่ไม่ต้องตั้งต้นการมีของตนขึ้นเหมือนสิ่งอื่น แต่ก็มีอยู่ได้ตลอดไป และไม่รู้จักดับสูญ เพราะไม่มีเวลาดับ หรือแม้แต่แปรปรวน

แท้จริงแล้ว พระนิพพาน คือ สภาพชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นตัวความบริสุทธิ ความว่าง ความเบา ความสุขอันแท้จริง ความชุ่มชื่น เยอกเย็น เป็นสภาพซึ่งแม้จะพูดว่า มีอยู่ก่อนสิ่งทั้งปวงก็ยังน้อยไป พูดว่าอยู่คู่กับสิ่งทั้งปวง ก็ยังน้อยไป เพราะเป็นสภาพที่เป็นอยู่เช่นนั้น โดยตัวเองจนตลอดอนันตกาล เราจึงกล่าวได้แต่เพียงว่า พระนิพพาน คือ อมตธรรม-สิ่งที่ไม่มีการตาย

สมเด็จพระญาณสังวรได้กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า คติในพุทธศาสนานั้น ไม่แสดงว่าตายเกิด ไม่แสดงว่าตายสูญ ถ้าตายเกิดก็แสดงว่า เมื่อขันธ์ 5 อันนี้แตกสลาย ยังมีอัตตาคือตัวตน ที่ไม่ตาย ซึ่งจะไปเกิดในภพชาติใหม่อีกต่อไป เป็นไปอยู่อย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุด พุทธศานานั้นไม่มีวาทะว่า ตายเกิด หรือตายสูญ แต่ว่ามีวาทะที่แสดงตามเหตุและผล คือ แสดงว่า เมื่อยังมีเหตุให้เกิดก็เกิด แต่ว่าเมื่อสิ้นเหตุให้เกิด ก็ไม่เกิด แต่ว่าเมื่อสิ้นเหตุให้เกิดแล้ว ดังพระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลาย เมื่อเบญจขันธ์นี้ดับไปแล้ว ก็ไม่สูญ เพราะว่า ภาวะที่เป็นพระอรหันต์นั้น ไม่ใช่ขันธ์ 5 แต่ว่าเมื่อไม่มีเหตุให้เกิดอีก ก็ไม่มีที่ตั้งของสมมติบัญญัติที่จะเรียกว่าอะไรทั้งสิ้น เพียงแต่กล่าวได้ว่า มีเป็นสภาพธรรม คือ ธาตุแท้ อันเป็น อสังขตธรรม ธัมมะที่ปัจจัยไม่ปรุงอันดำรงอยู่

ขันธ์5หรือเบญจขันธ์นั้นพุทธทาส ภิกขุ อธิบายว่า คือ กายกับใจ กลุ่มใดยังมีอวิชชาอยู่ภายในมัน เบญจขันธ์กลุ่มนั้นก็มีอุปาทาน อันเป็นเหตุให้ยึดถือตัวเองว่า เรา.เราเป็น ฉับเป็น ฯลฯ เป็นต้น "เรา"จึงคงอาศัยมีอยู่ได้แต่เพียงใน "เบญจขันธ" ์ที่ยังมีอุปาทานอยู่ภายใน และเบญจขันธ์ชนิดนี้ยัง "สัมผัส"กันไม่ได้กับ "พระนิพพาน" จึงต้องเต็มไปด้วยทุกข์ และกลิ้งเกลือกไปในวัฏฏสงสาร อันสูงๆ ต่ำๆ ลุ่มๆ ดอนๆ ระเกะระกะ ไปด้วยสิ่งเสียบแทง เผาลน

ลัทธิฮินดูนั้นก็แยกจากเรื่องของพรหมไม่ได้เช่นกัน และเชื่อว่า การที่โลกออกจากพรหมนั้น คือ พรหมเป็นผู้สร้าง พรหมจะต้องเป็นบุคคลเป็นปุลลิงค์จึงเรียกว่า"พรหมา" ภายหลังก็เกิดผู้สร้างอื่นอีกคือ พระอิศวร พระรนารายณ์ เมื่อมนุษย์กลับเข้าสู่ถิ่นของ พระผู้สร้างได้ ก็ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดเหมือนกัน

(HOME) (บ.ก.ธรรมดา) (วิจารณ์ฯ) (อยากเป็นนักข่าว) (NEXT)

1