เล่าเรื่องคอมฯ

ประสบการณ์ใหม่ของผมเวลานี้คือการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ นี่ไม่ใช่เรื่องตลกเลย เพราะเพิ่งจะมาจับคอมพิวเตอร์จริงๆก็เมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2543 นี่เอง ก่อนหน้านี้ก็เคยใช้ แต่ก็ใช้เฉพาะพิมพ์งานข่าว พิมพ์บทความ และใช้เฉพาะโปรแกรมcwเท่านั้น ความรู้ที่มีก็คือกดปุ่มเปิดเครื่องทำงาน เลื่อนไปเปิดcwจากนั้นก็พิมพ์แล้วก็บันทึกลงแผ่น ส่งงานไปจัดหน้า

ความรู้ที่เกินจากนี้ก็คือชะโงกไปดูข่าวหน้ามอร์นิเตอร์ออนไลน์ และแทบจะนับครั้งได้ที่จะเข้าไปดูในอินเทอร์เน็ต ที่เป็นเช่นนี้เป็นเพราะอะไรหรือ ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน มีแต่รู้ว่าไม่ชอบเจ้าคอมพิวเตอร์เลย ถามว่าทำไมไม่ชอบ ก็บอกไม่ได้เหมือนกัน มีแต่รู้สึกเฉยๆมากกว่า คงเป็นเพราะไม่กระตือรือล้นเรื่องนี้กระมัง ผมเลยเป็นคนสุดท้ายในโรงพิมพ์ที่ปลดเครื่องพิมพ์ดีดออกจากโต๊ะ

ย้อนหลังไปกว่าสิบปี เคยดูแหล่งข่าวที่อยู่บริษัทไอบีเอ็ม และสำนักงานอยู่ข้างโรงแรมดุสิตธานีเขาสาธิตให้ดู ตอนนั้นเขาเปิดเครื่องแล้วก็ส่งเมลไปหาพรรคพวกอยู่ที่ญี่ปุ่น แค่เสี้ยวนาทีเดียวด้านญี่ปุ่นก็ตอบกลับมา ก็เข้าใจว่า คอมพวิเตอร์ชั่งพัฒนาไปไกลเลยเสียจริงๆ

ที่โรงพิมพ์ลงระบบคอมพิวเตอร์มาหลายปีแล้ว ลงทุนไปหลายล้านเสียด้วย เครื่องชุด เครื่องเคียงเพียบ พนักงานฝ่ายคอมพิวเตอร์หลายคน แต่ผมไม่เคยก้าวเท้าเข้าไปในห้องนั้นแม้แต่ครั้งเดียว ไม่เคยเลยจริงๆ ก็อย่างที่บอกละครับ บางทีก็หาคำตอบไม่ได้เช่นกันว่า ทำไมเราถึงเป็นแบบนี้ ทั้งๆที่เป็นระดับบริหาร และต้องมีส่วนเกี่ยวข้องในการสั่งซื้อสั่งจ่ายเครื่องมืออุปกรณ์เหล่านี้

เอาละ นั่นเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้ว และเดี๋ยวนี้ผมกำลังทำตัวเป็นคนละคนกับเมื่อก่อน ให้ความสนใจกับคอมพิวเตอร์จริงๆจังๆ เป้าหมายคือ น่าจะมีความรู้มากกว่าเดิมบ้าง เพราะลูกเต้าก็โตแล้ว เด็กก็คงไม่พ้นที่จะต้องใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ ถ้าเราไม่รู้บ้าง คงสอนคงแนะนำอะไรไม่ได้

ในแง่ของระบบการทำงานก็เปลี่ยนไปเหมือนกัน เราอยู่ในแวดวงข่าว ก็ได้รู้ ได้เห็นทิศทางการเปลี่ยนแปลง พอจะประเมินออกว่า โลกใบนี้กำลังเกิดอะไรขึ้น และในวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร จึงจำเป็นต้องปรับปรุงความรู้ความสามารถเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะการแสวงหาความรู้เกี่ยวกับการค้าทางด้านการค้าอีเล็กทรอนิกส์ หรือ E-commerce นั่นเอง

ผมเองนอกจากเป็นผู้บริหารงานข่าวแล้ว ก็มักรับหน้าที่ไปบรรยาย หรือไปเป็นวิทยากรเสมอ ครั้นเราจะเป็นผู้ดำเนินการอภิปรายที่ดี ก็ต้องมีพื้นความรู้บ้าง รู้มากรู้น้อยก็อีกเรื่องหนึ่ง และเห็นว่าเรื่องอีคอมเมอร์ซมาแรง หลบก็ไม่ได้ ก็ต้องศึกษา

คอลัมน์ที่เปิดมานี้ตั้งใจจะเขียนเล่ากันเพลินๆและน่าจะเป็นประโยชน์ สำหรับคนที่เกรงๆกลัวๆคอมพิวเตอร์เหมือนกับผม มาเรียนรู้มันและใช้ประโยชน์จากมัน และแน่นอนที่สุด ผมมีความรู้เพียงเสี้ยวเดียวของคนที่มีความรู้ในด้านนี้ แต่จากการศึกษา การอ่านอย่างจริงๆจังๆ ก็เห็นจุดอ่อนของหนังสือ หรือเห็นจุดอ่อนคนรู้คอมพิวเตอร์ แต่สอนคนด้วยกันไม่เป็น และขอบอกอีกครั้งว่า อ่านคอลัมน์นี้แล้วจะช่วยอะไรได้มาก พูดอย่างนี้ อยากจะให้ท่านที่สนใจ และกำลังเริ่มเรียนรู้ ยึดตำรับตำราจะดีกว่า และอาจได้เกร็ดเล็กน้อยจากขอเขียนของผมไปทดลองดูบ้างเท่านี้น

จุดอ่อนที่พบจากคนที่มีความรู้คอมพิวเตอร์ก็คือ เขามักจะขี้เกียจเล่า ขี้เกียจอธิบาย ขณะเดียวกันเราก็เกรงใจคน เพราะจะหาความรู้จากการถาม คงมีตั้งคำถามได้ 108 อย่ากระนั้นเลย จึงหันไปพึ่งตำรา และมีข้อสังเกตว่า อ่านตำราอย่างเดียวถ้าไม่ทดลองทำ ก็ไม่มีทางจะทำได้ ตำราก็เหมือนกัน ยังไม่เห็นใครเขียนได้เจ๊งจริงๆ เพราะอ่านเรื่องเดียวหัวข้อเดียว 3 วัน 3 คืน ยังทำความเข้าใจไม่ได้ พอสังเกตลักษณะตำราก็ต้องร้องอ๋อ ตำราส่วนใหญ่แปลเขามาครับ เมื่อแปลมา จะช่วยอะไรเราได้จริงๆ เพราะคนแปล คงไม่เข้าใจ และไม่รู้ปัญหาจริงๆว่า ในแต่ละขั้นตอนที่ปรากฎต่อหน้านั้น จะแก้ปัญหาอย่างไร

อย่างไรก็ดี คนที่เขียนเก่งๆก็มีเหมือนกันครับ แต่ก็นั่นแหละ ในสายตาผมเห็นว่ายังไม่ดีพอ ตำราถ้าจะดี ควรจะมีหลักในการทำ คือ เขาเขียนไว้อย่างไร ก็แปลมาให้อ่านให้ศึกษาอย่างนั้น แล้วคนเขียนตำราก็ต้องสมมติว่าถ้าจะทำขึ้นมาบ้าง จะทำได้จริงอย่างที่ว่าหรือเปล่า ข้อเขียนครอบคลุมกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ เรื่องนี้สำคัญ สรุปแล้ววงการตำราคอมพิวเตอร์ หากปรับปรุงโครงสร้างเนื้อหาให้มี"เวอร์คชอป" หรือ ทำตัวอย่าง อย่างเต็มรูปแบบบ้าง ก็จะช่วยได้ดีทีเดียว

ผมสั่งซื้อคอมพิวเตอร์ไว้ที่บ้าน 1 ชุด มีสแกนเนอร์และ ปริ๊นเตอร์พร้อม และสิ่งที่ไม่ลืมเลยคือ ตำราว่าด้วยคอมพิวพ์เตอร์ ส่วนใหญ่ผมจะแบบแฝด เป็นต้นว่า โปรแกรมเวิร์ดผมมีถึง 4 เล่ม ซึ่งก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า คนเขียนหนังสือทั้งที ทำไมไม่ทำให้ครอบคลุม แค่ความรู้แค่นี้ ถ้าจะรู้และเข้าใจบ้าง ต้องใช้หนังสือหลายเล่มกระนั่นหรือ ถือเป็นการสิ้นเปลืองมากเลยทีเดียว

หนังสือโฟโต้ชอปผมก็ต้องใช้ถึง 2 เล่มเช่นกัน เพราะ"one is not enouge"?? ถ้าคนแต่งหนังสือหรือแปลหนังสือเหล่านี้ อยากจะแลกเปลี่ยนกับผม ผมก็ยินดี ให้คำปรึกษาฟรีด้วย และถ้าหาว่าผมกล่าวเกินเลย ก็ลองเอาคนไม่รู้เรื่องคอมพิวเตอร์เลยมาอ่านดู อ่านแล้วเขาจะทำได้หรือไม่ ถ้าทำได้ ถือว่าใช้ได้ ถ้าทำไม่ได้ ก็ต้องแก้ไขปรับปรุงกันหน่อยละ

ช่วงเวลาประมาณ 2 เดือน ผมพอจะเข้าใจกับคอมพิวเตอร์มากขึ้น เข้าใจว่า อยากจะรู้อะไรจะต้องไปดูที่ไหน จะเอาโปรแกรมเข้าเครื่องจะต้องทำอย่างไร โปรแกรมบกพร่องหรือเบื่อ จะเอาออกอย่างไร ในรอบสัปดาห์ ควรจะทำอะไรก็เครื่องบ้าง จะดาวน์โหลดข้อมูลมาได้อย่างไร ถ้าดาวน์โหลดไม่ได้จะต้องทำอย่างไร ใช้เครื่องมือุปกรณ์ต่างๆอย่างไร ลูกเล่นโปรแกรมต่างๆ(แบบพื้นๆนะครับ)ต้องทำอย่างไร เขียนเว็บเพจจะทำทำอย่างไร เขียนเสร็จแล้วจะส่งอย่างไร อ้อ รวมทั่งขอพี้นที่ฟรีจาก"จีโอซิตี้ส์"ด้วย จะต้องทำอย่างไร สองเดือนที่ผ่านมาก็ได้เรียนรู้อะไรไปมากพอสมควร

ครับก็อย่างที่บอกมาแล้ว ผมแนะนำประสาคนเพิ่งหัดทำ ทำแล้วมีปัญหา มีปัญหาแล้วแก้ไขปัญหา และคิดว่า ถ้าเอาสิ่งเหล่านี้มาบอกเล่า คนที่เพิ่งจะหัดเดินเหมือนผม หรือกำลังคลานตามกันมา น่าจะพัฒนความรู้ความสามารถไปด้วยกันได้

คนที่เขาเก่ง เขาไม่ค่อยอยากจะคุย อยากจะบอกอะไรเราหรอก เพราะเขาเบื่อ"เป่าปีใส่หูควาย" พวกเรางูๆปลาๆ มีอะไรดีๆมาเล่าสู่กันฟังจะดีกว่า จริงไหมครับ อ้อ กลุ่มพวกผมก็ศึกษากันเองอย่างนี้ละครับ บางคนเครื่องใช้โปรแกรมโบราณ ใช้ซีดีรอมก็ไม่ได้ พื้นที่ความจำก็น้อย พอจะเขียนเว็บเพจก็มีปัญหา ความสามารถของเครื่องไปไม่ถึง เมื่อแก้ที่เครื่องไม่ได้ ก็แก้ที่คนไปเลย เพื่อนก็ตัดสินใจเขียนด้วยภาษาHTMLไปเลย รู้งูๆปลาๆ ก็ทำแบบงูๆปลาๆไปก่อน ความรู้มากขึ้นคอยพัฒนารู้ร่างหน้าตาก็แล้วกัน

แต่ก็น่าภูมิใจนะครับ แก่จนป่านนี้แล้ว ยังไม่เหนื่อยหน่ายที่จะเรียนรู้ เอาไว้ตอนหน้าจะคุยให้ฟังต่อ และอาจลงถึงการขอพื้นที่ฟรีเพื่อทำเว็บไซต์ส่วนตัวC

(HOME) (พุทธศาสนาเชิงประวัติศาสตร์) (วิจารณ์บ้านเมืองฯ) (บ.ก.ธรรมดา) (NEXT)

 

1