![]() |
พุทธศาสนาเชิงประวัติศาสตร์
โดย โอฬาร สุขเกษม
|
ปฐมบท ตอนที่1 ตำนานคัมภีร์พราหมณ์และคัมภีร์อิหร่าน ในอดีตนั้นประเทศอิหร่านมีชื่อเรียกว่า"เปอร์เซีย" และประเทศนี้มีบทบาทสำคัญยิ่งเกี่ยวกับศาสนาเพราะเป็นแหล่งชุมชนอยู่อาศัยที่มีการพัฒนา เป็นแหล่งเชื่อมโยงทวีปยุโรปกับตะวันออกกลางและทวีปเอเชียตอนกลาง ซึ่งปัจจุบันอิหร่านมีพรมแดนติดกับประเทศต่างๆหลายประเทศ เป็นต้นว่า ทิศเหนือติกกับอดีตสหภาพโซเวียต บางส่วนของทิศเหนือติดกับทะเลสาบแคสเปียน ทิศตะวันตกเฉียงเหนือติดกับประเทศตุรกี ทิศตะวันตกติดกับประเทศอิรัก ทิศใต้ติดอ่าวเปอร์เซียและอ่าวโอมาน ส่วนทิศตะวันออกติดกับบางส่วนของอดีตสหภาพโซเวียต และยังติดกับประเทศอัฟกานิสถานและประเทศปากีสถาน คำว่า"อิหร่าน"มีความหมายถึง"ดินแดนแห่งชาวอารยัน"(อริยกะ) ซึ่งบ่งบอกถึงชนชาติที่เข้ามาตั้งรกรากอยู่ในดินแดนแถบนี้ตั้งแต่โบราณหลายพันปีมาแล้ว ซึ่งในอดีตที่ลึกลงไปกว่านั้นนักประวัติศาสตร์เชื่อกันว่า ชนชาติอริยกะมีถิ่นกำเนิดอยู่แถบทะเลสาบแคสเปียนที่อยู่ตอนเหนือของประเทศนั่นเอง ชนชาตินี้อยู่แหล่งน้ำใหญ ่ก่อนจะลงมารวมเป็นประเทศชาติและสร้างจักรวรรติอันกว้างใหญ่ไพศาลในยุคต่อๆมา พลิกตามประวัติดูทราบว่าชนชาวอริยกะได้แพร่ขยายแหล่งอยู่อาศัยออกไปทั่วทุกทิศ แต่ราวหนึ่งพันปีก่อนพุทธศักราช มีกลุ่มอริยกะที่อยู่ด้านทิศตะวันออก ได้แยกลงมาอยู่ภาคตะวันตกของประเทศตุรกี และต่อมาได้ขยายเคลื่อนย้ายไปอยู่ในดินแดนที่เรียกว่าอิหร่านปัจจุบันบ้าง หรือมาอยู่แถวๆเขาฮินดูกูษ และแม้น้ำกุภา(กาบูล)บ้าง พวกที่ลงมาทางแม่น้ำกุภานี้ประเมินว่ามาราวๆ 650 ปีก่อนพุทธศักราช พวกนี้ยังขยายพื้นที่อยู่อาศัยลงมาสู่บริเวณแม่น้ำสินธุตอนบน ตลอดจนเขตปัจจาปลาชปุต์ตฐาน การขยายพื้นที่นี้ ต้องรุกไล่คนพื้นเมืองเดิม(ทัสยู)ที่มีอยู่ทั่วไปแล้วด้วย ตามประวัติศาสตร์สากลนั้นยอมรับกันว่า พวกทัสยูหรือคนพื้นเมืองนั้นแท้จริงแล้วก็มีอารยะธรรมของตนเอง ไม่ใช่คนป่าเมืองเถื่อน เพียงแต่ความรุ่งเรืองที่มีอยู่หาเทียบได้กับชนชาอริยกะไม่ ผลสุดท้ายเจ้าถิ่นเดิมก็ต้องอยู่ปะปนหรือถอยร่นลงมาทางตอนใต้ของประเทศอินเดียปัจจุบัน หรืออยู่ในบริเวณที่เรียกว่าคาบสมุทรเดกข่านและเกาะลังกา ทั้งนี้ตามประวัติศาสตร์อินเดียกล่าวว่า บรรพบุรุษของชนชาวอินเดียก็คือ ชนชาวอริยกะนั่นเอง อย่างที่กล่าวมาข้างต้นว่าบรรพบุรุษของชาวอินเดียก็คือชาวอริยกะ ดังนั้นการสร้างความรุ่งเรืองหรืออารยะธรรมบนพื้นที่แห่งใหม่ไม่ใช่เรื่องยาก ทำให้ต่อมาประเทศอินเดียจึงอุดมด้วยอารยะธรรมสูงส่ง มีความเจริญงอกงามด้านภาษาและวัฒนธรรม และก่อกำเนิดศาสนาสำคัญๆของโลกขึ้นมา ซึ่งรากเหง้าที่สำคัญมาจากคัมภีร์โบราณที่ชาวพราหมณ์เรียกว่า คัมภีร์พระเวท หรือคัมภีร์ต้นกำเนิดของศาสนาพราหมณ์นั่นเอง คัมภีร์พระเวทบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเทพกับอสูร โดยเหล่าเทพจะมีพระอินทร์เป็นบดีหรือเป็นหัวหน้า เหล่าเทพจะต่อสู้กับอสูรเสมอมา ทั้งๆที่ตามท้องเรื่องแล้ว เทพกับอสูรเป็นพี่น้องร่วมบิดาเดียวกันแต่ต่างมารดา คือ เป็นเหล่ากอพระกัศยปประชาบดี เหล่าเทพเกิดจากนางอทิติจึงได้ชื่อว่าอาทิตย์ ส่วนเหล่าอสูรเกิดจากนางทนะจึงได้ชื่อว่าแทตย์(ลักษณะหน้าตาดุร้าย) ตามที่บอกเล่าในตำนานนั้น เหล่าเทพจะเป็นพวกใจดีแต่มีนิสัยชอบเสวยน้ำเมาที่เรียกว่าโสม ในขณะที่เหล่าอสูรซึ่งได้ชื่อว่าเป็นผู้ดุร้ายใจหยาบช้ากลับไม่ดื่มน้ำโสม ทั้งนี้มีข้อสังเกตว่า ผู้ศรัทธาในเหล่าเทพมักจะประกอบพิธีถวายน้ำโสมแด่พระอินทร์เป็นพิเศษเสมอ ซึ่งเรียกกันว่าพิธีโสมยัชญ หรือแม้แต่ทุกวันนี้ การเซ่นไหวตามแนวพิธีพราหมณ์มักจะนิยมถวายเมรัยเป็นเครื่องประกอบด้วยเสมอ อีกข้อสังเกตประการหนึ่ง คำว่า อสูร มาจากคำว่า อ-สุ-ระ หรือ อสุรา นั่นเอง ทางด้านลุ่มแม่น้ำสินธุมีคำภีร์พระเวท ณ อาณาจักรอิหร่านก็มีคำภีร์เช่นเดียวกันเรียกว่า คัมภีร์เซนอะเวสตะ และดูจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่เนื้อหาของสองคัมภีร์นี้ ท้องเรื่องเป็นเรื่องเกี่ยวกับเทพและอสูรเช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่าบทสรุปของสองคัมภีร์กลับแตกต่างไปคนละขั้ว ในภัมภีร์เซนอะเวสตะเรียกเหล่าผู้ใจดีในท้องเรื่องพระคัมภีร์ว่าอสุระ และเรียกเหล่าใจบาปหยาบช้าว่าเทวะ อีกทั้งยังเล่าด้วยว่า บรรดาเหล่าเทวะนี้ชอบที่จะดื่มน้ำโสมคราวละมากๆ อีกทั้งชอบโอ้อวดเกะกะระรานอีกด้วย มีข้อสังเกตว่า ชื่อที่ถูกกล่าวถึงในคัมภีร์พระเวทกับคัมภีร์เซนอะเวสตะ จะมีชื่อเทพหรือเทวะที่นับถือกันมาตั้งแต่กาลดึกดำบรรพ์ที่ใกล้เคียงกัน อาทิ คัมภีร์พระเวทเรียกว่า"อรรยมัน มิตระ โสม" ในคัมภีร์เซนอะเวสตะเรียกว่า"อะหริมัน มิถระ โหม" และมักจะมีคำที่คล้ายๆกัน เช่น"สินธู"กับ"หินดู"(ฮินดู) หรือ "อสัม"กับ"อหม" ยังมีข้อสังเกตเพิ่มเติมแต่ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้คือ ในคัมภีร์ฝ่ายคริสต์เรียกมนุษย์คู่แรกของโลกว่า อีฟและอาดัม ขณะที่อิสลามเรียกว่า อีวาและอาดัม,คริสต์เรียกว่าโมเสต อิสลามเรียกว่ามูซา แต่มาถึงลำดับจีซัส ไครสต์หรือเยซูคริสต์กลับเรียกแตกต่างไปจนจับความไม่ได้ คือ อิสลามมีศาสดาองค์หนึ่งเรียกว่าอีซา,คนในพระคัมภีร์ที่มีชื่อพอจะจับใจความได้ไม่ต่างกัน อาทิ ชาวตะวันตกเรียกโจเซฟ โลกอาหรับเรียกยูซูป เป็นต้น กลับมาเรื่องเดิม มีนิยายเก่าแก่เรื่องหนึ่งชื่อว่า เทวาสุระสงคราม ความในเนื้อเรื่องจะกล่าวถึงสวรรค์ดาวดึงส์ และบอกว่าสวรรค์แห่งนี้เป็นที่สถิตย์ของเหล่าอสูรมาก่อน ต่อมาท้าวสักกะหรือพระอินทร์เห็นว่า สวรรค์ดาวดึงส ควรเป็นที่อยู่ของเหล่าเทวะมากกว่า จึงอุบายมอมเหล้าเหล่าอสูรจนมึนเมา แล้วช่วยกันจับอสูรพุ่งลงสู่ท้องมหาสมุทร จนกระทั่งศีรษะอสูรปักลงบาดาลใต้เขาพระสุเมร(ต่อมา ณ ที่แห่งนี้เป็นแหล่งสถิตย์ของเหล่าอสูร) และเมื่อสร่างเมาฟื้นคืนสติขึ้นมา อสูรถึงได้เห็นโทษของการดื่มสุรา จึงประกาศไม่ดื่มสุราอีกต่อไป แล้วก็กลับไปชิงสวรรค์กลับมาคืนอยู่เนืองๆ ทำให้เทพกับอสูรจึงต้องรบกันแบบไม่เลิกลาc (HOME) (อยากเป็นนักข่าว) (นักข่าวทำอะไร) (เล่าเรื่องคอมฯ) (NEXT)
|