นิราศรักหักใจอาลัยหวน ] ถึงบ้านจีนจีนมีที่นี่หรือ ] รำพันพลางทางมาถึงวัดสิงห์ ] มาถึงโป่งลูกวัวน่ากลัวผี ] [ ถึงพระแท่นแสนสนุกทุกข์ค่อยหาย ]

     ถึงพระแท่นแสนสนุกทุกข์ค่อยหาย

เห็นรังรายใจปลื้มจนลืมหลัง

พวกหญิงชายสัปบุรุษก็หยุดยั้ง

เข้าแอบบังพฤกษาริมอาราม

พอพลบค่ำทำที่จะอาศัย

บ้างปักไม้เกะกะแล้วสะหนาม

บ้างกองไฟจุดไต้ตะเกียงตาม

ดูอร่ามรายเรียงเคียงกันไป

แล้วพักผ่อนนอนหลับระงับงีบ

จะแสงทองส่องทวีปสว่างไสว

เอาธูปเทียนบุปผาสุมาลัย

ชวนกันไปไหว้พระแท่นแผ่นศิลา

ในระหว่างนางรังทั้งคู่ค้อม

คำนับน้อมกิ่งก้านก็สาขา

แต่ไม้รังยังรักพระศาสดา

อนิจจาเราเกิดไม่ทันองค์

เห็นแต่แท่นแผ่นผายังปรากฏ

แสนกำสรดเศร้าจิตพิศวง

น้ำเนตรหยัดหยดย้อยเป็นฝอยลง

คิดถึงองค์พระสัพพัญญุตญาณ

พระองค์โปรดเทวดาและมนุษย์

ให้สูงสุดสิ้นโอฆสงสาร

พระชนม์ได้แปดสิบก็นิพพาน

โปรดประทานศาสนาไว้ห้าพัน

พระองค์เกิดในบูรีกบิลพัสดุ์

เป็นกษัตริย์ศรีสุขเกษมสันต์

มานิพพานในป่าสาละวัน

ถ้าเกิดทันแล้วจะทูลอาราธนา

มิให้องค์ทรงญาณนิพพานก่อน

ให้ถาวรอยู่สืบพระศาสนา

ยิ่งคิดไปใจหายฟายน้ำตา

แทบชีวาจะพินาศเพียงขาดใจ

และเห็นก้อนพระโลหิตประดิษฐาน

ยิ่งสงสารสังเวชน้ำเนตรไหล

ประคองวางกลางเกล้าเฝ้าพิไร

แล้วกราบไหว้ตั้งวางไว้อย่างเดิม

ดูพระแท่นแล้วก็แสนจะสังเวช

ถ้าเรืองเดชจะนิมิตมณฑปเสริม

จะสร้างวัดจัดแจงตกแต่งเติม

ไว้เฉลิมโลกาสถาพร

นี่จนจิตฤทธีหามีไม่

ยิ่งคิดไปก็ยิ่งทอดฤทัยถอน

โอ้พระแท่นแผ่นเผาอยู่ป่าดอน

แต่ปางก่อนที่นี่เป็นที่เมือง

ชื่อกรุงโกสินรายสบายนัก

เป็นเอกอัครออกชื่อย่อมลือเลื่อง

ทั้งแก้วแหวนเงินทองก็นองเนือง

ไม่ฝืดเคืองสมบัติกษัตรา

มีสวนแก้วอุทยานสำราญรื่น

ดูดาดดื่นดอกดวงพวงบุปผา

ปลูกไม้รังตั้งแท่นแผ่นศิลา

คือแผ่นผาอันนี้ท่านนิพพาน

ของพระยามลราชประสาทไว้

ย่อมแจ้งใจทุกประเทศเขตสถาน

ที่สำคัญมั่นหมายหลายประการ

สมนิพพานเรื่องเทศน์สังเกตฟัง

แต่บ้านเมืองสูญหายกลายเป็นป่า

พยัคฆาอาศัยดังใจหวัง

พระอุทยานร้างราเป็นป่ารัง

อนิจจังอนาถจิตอนิจจา

เดชะบุญได้นบอภิวาท

ไม่เสียชาติที่ได้พบพระศาสนา

รำพันพลางทางก้มบังคมลา

ถอบออกมาเที่ยวชมพนมเนิน

ขึ้นคิรีที่ถวายพระเพลิงเผา

บันไดเล่าลดหลั่นเป็นขั้นเขิน

ขึ้นถึงยอดทอดตาดูน่าเพลิน

เหมือนเหาะเหินเห็นรอบขอบมณฑล

ดูทางทิศบุรพาน่าวิเวก

เห็นเทียมเมฆกลุ้มเกลื่อนเลื่อนเวหน

ข้างทิศใต้ทิวไม้เป็นหมอกมน

แลดูคนตัวนิดนิดติดสุธา

เห็นเขาใหญ่ไกลตะคุ่มชอุ่มเขียว

ดูลดเลี้ยวหลายหลากชะวากผา

พยับลมกลมกลืนกับพื้นฟ้า

ทัศนานั่งแลอยู่แต่ไกล

พินิจพลางทางเดินบนเนินผา

เห็นศิลาแวววามงามไสว

พรรณรายพรายแพรวดูแววไว

แลวิไลเลื่อมเลื่อมละลานตา

บ้างเป็นก้อนกลิ้งกลมบ้างคมแหลม

เป็นแก้วแกมเกิดก้อนชะง่อนผา

เป็นที่เทพนิรมิตด้วยฤทธา

พิจารณาสมความตามบาลี

เป็นก้อนแก้วแวววาบประปราบแสง

คือเครื่องแต่งพระศพพระชินสีห์

จึงเกิดเป็นบรรพตปรากฏมี

ด้วยเป็นที่ถวายเพลิงเชิงตะกอน

ยิ่งพิศดูภูผาน้ำตาตก

อยากใคร่ยกโยกยอดให้ถอดถอน

มาปลูกฝังตั้งวางกลางนคร

ให้ถาวรวันทาบูชาชม

ยกไม่ไหวจนใจไม่มีฤทธิ์

สุดจะคิดขุดหินแผ่นดินถม

แล้วลงจากเขาเขินเนินพนม

เที่ยวเดินชมบุปผาชาติดาษดา

เห็นลั่นทมลมพัดสลัดร่วง

เป็นพุ่มพวงกลิ่นหอมทั้งจอมผา

ต้นงอกขึ้นตามพื้นพสุธา

ดาษดาร่มรื่นด้วยพื้นทราย

เป็นสายหยุดหยุดยืนค่อยชื่นจิต

พี่ยิ่งคิดถึงนุชที่สุดหมาย

ได้หยุดชมหยุดเชยเคยสบาย

ทั้งหยุดก่ายหยุดกอดแม่ยอดรัก

มะลิลาเหมือนพี่มาไม่ลาน้อง

ให้ขัดข้องอุทรดังศรปัก

กระลำพักได้พบประสบพักตร์

มาไกลนักนึกถึงคะนึงครวญ

เห็นนางแย้มเหมือนหนึ่งแก้มแม่แย้มยิ้ม

ดูเพราพริ้มสุดงามทรามสงวน

อบเชยเหมือนพี่เชยเคยชมชวน

ให้นิ่มนวลนอนแนบแอบอุรา

กาหลงเหมือนพี่หลงลานสวาท

เบญจมาศเหมือนพี่มาดเสน่หา

พี่ชมพรรณบุปผาชาติหวาดวิญญาณ

แล้วชมป่าไม้รังสะพรั่งไป

ไม่มีไม้อื่นปนต้นสล้าง

ดูกิ่งกางคดค้อมน้อมไสว

เป็นดอกดวงร่วงผลัดสะบัดใบ

ที่ภายใต้ราบรื่นด้วยพื้นทราย

เสียงเรไรจักกระจั่นสนั่นก้อง

สกุณร้องเพรียกหูไม่รู้หาย

ประดุจเสียงขับรำบำเรอราย

ร้องถวายพระแท่นในแดนดง

ฟังวิเวกวังเวงดังเพลงสวรรค์

อัศจรรย์จับจิตพิศวง

พี่เที่ยวทั่วบริเวณจังหวัดวง

จนเลยหลงลัดทางมากลางไพร

เห็นพะยอมยางยูงสูงสลอน

ดูซับซ้อนโศกสนต้นไสว

ตะลิงปลิงปลิงปรางมะทรางไทร

ประคำไก่กันเกราสะเดาดง

กระถินกระทิมชุมแสงดังแกล้งดัด

เป็นคันฉัตรชูเชิดระเหิดระหง

ปลิงประดู่ปรูเปรียงพุมเรียงดง

โลดทะนงอินทะนิลและอินจันทน์

เป็นพวงผลหล่นกลาดลงดาษดื่น

ระดะพื้นพสุธาวนาสัณฑ์

มะขามป้อมน้อมกิ่งลงชิงกัน

เสียงสนั่นเฮฮาในป่าดอน

พี่เดินพลางทางดูหมู่วิหค

บ้างโผผกบินจับสลับสลอน

นกกะลิงจับกิ่งกาหลงนอน

กระจาบจรจากรังไปพรั่งพรู

อีลุ้มเหล่าเขาชวากระทาขัน

เบญจวรรณบินผวาเที่ยวหาคู่

นกนางนวลโนรีสีชมพู

น่าเอ็นดูแต่เจ้าสาลิกาทอง

พี่คะนึงถึงสาลิกาแก้ว

ค่ำลงแล้วใครจะอยู่เป็นคู่สอง

จะเศร้าทรวงง่วงงงอยู่กรงทอง

หรือจะล่วงลอยบินไปกินไกล

จวนจะค่ำร่ำตรึกนึกถวิล

นกขมิ้นเหลืองอ่อนจะนอนไหน

มานอนเพื่อนพี่บ้างในกลางไพร

ให้ชื่นใจเชษฐาสักราตรี

พิลาปร่ำคร่ำครวญชวนละห้อย

พี่ก็พลอยคร่ำครวญถึงนวลศรี

พระสุริยายอแสงแฝงคิรี

เสียงชะนีโหยหวนรัญจวนใจ

เห็นเสือด้อมทรายเดินเนินพนัส

เล็มระบัดใบหญ้าที่อาศัย

วิ่งคะนองลองเชิงละเลิงใจ

เห็นคนไปวิ่งซอกตอมตรอกเตริน

หมีกระโดดหมูดุดเที่ยวมุดแฝง

แรดก็แรงกินหนามไม่ขามเขิน

ชะมดฉะมันหันหาพากันเดิน

ละมั่งเมินมองเมียงฟังเสียงคน

กระรอกกระแตแย้ตุ่นเที่ยวดุนดุด

บ้างคุ้ยขุดดินป่าพนาสณฑ์

พี่เที่ยวเดินดูสนุกทุกตำบล

ก็ต่างคนต่างสำราญบานฤทัย

ครั้นเย็นย่ำค่ำมืดขมุกขมัว

พี่นึกกลัวกลับมาที่อาศัย

พระจันทร์ส่องท้องฟ้าพนาลัย

จุดดอกไม้เพลิงพลามตามตะเกียง

ถวายพระแท่นอุทิศตั้งจิตหวัง

จุดพลุดังก้องลั่นสนั่นเสียง

กระจายฟุ้งพลุ่งใหญ่ไฟพะเนียง

ขึ้นสูงเพียงปลายรังดังสะท้าน

บ้างก็จุดอ้ายตื้อเสียงหวือหวูด

กรวดก็ฉูดพุ่งประหลาดอยู่ฉาดฉาน

มีคนดูกรูเกรียวเที่ยวสำราญ

ประกอบการบูชาประสาจน

บ้างก็เล่นเต้นรำทำสมโภช

ด้วยปราโมทย์มุ่งหมายฝ่ายกุศล

บ้างโกนเกล้าเข้าบวชแล้วสวดมนต์

บ้างนั่งบ่นภาวนาหลับตาไป

บ้างก็ร้องแก้เพลงกันเครงครื้น

คนพั่งยืนยัดเยียดเบียดไม่ไหว

เขาเล่นเรื่องขุนแผนแสนอาลัย

เมื่อจรไปรับน้องวันทองมา

บ้างก็ร้องสักระวาใส่หน้าทับ

ลูกคู่รับเรียบรัดไม่ขัดขวาง

ข้างเสภากุมกรับขยับพลาง

แล้วครวญครางถึงพิมนิ่มอนงค์

พี่พาทย์รับขันขานประสานเสียง

ก็กลมเกลี้ยงกล่อมจิตพิศวง

คนมาฟังนั่งพร้อมล้อมเป็นวง

บ้างขึ้นลงอัดแอเสียงแซ่เซ็ง

จนดึกดื่นครื้นครั่นสนั่นมี

ชวนกันตีระฆังดังหง่างเหง่ง

สัปบุรุษพร้อมกันเมื่อวันเพ็ง

พระจันทร์เปล่งเปลื้องปลดหมดมลทิน

ดารารายพรายพร่างน้ำค้างย้อย

หวนละห้อยโหยจิตคิดถวิล

หักใบไม้ลงนอนกับดอนดิน

เขาหลับสิ้นเสียงเงียบยะเยียบเย็น

พี่นอนโศกเศร้าจิตพิศวง

พอค่ำลงวันนั้นก็ฝันเห็น

ว่าโลมลูบจูบน้องประคองเคล้น

แม่เนื้อเย็นหยิกข่วนว่ากวนใจ

พี่กล่าวคำร่ำปลอบให้ชอบชื่น

ระเริงรื่นชื่นจิตพิสมัย

สะดุ้งตื่นรื่นรสสุมาลัย

น้ำค้างไพรพร่างพรมลมรำเพย

โอ้น้ำค้างกลางหาวหนาวละห้อย

อย่าหยดย้อยหยุดบ้างน้ำค้างเอ๋ย

โอ้ดอกดวงพวงพะยอมอย่าหอมเลย

พี่อยากเชยชมชูเรณูนวล

โอ้พระจันทร์อันสว่างกระจ่างแจ้ง

อย่าเข้าแฝงเมฆมนลมบนหวน

ขอชมต่างหน้าน้องละอองนวล

อย่าเพ่อด่วนลับเหลี่ยมเมรุไกร

โอ้ว่าดวงดาราในอากาศ

เดียรดาษแวมวามงามไสว

ลอยประโลมเลื่อมฟ้านภาลัย

เหมือนดวงใจของพี่ที่เลื่อนลอย

พี่อยากได้ดวงดาวอันวาววับ

นึกขยับแล้วขยาดไม่อาจสอย

ชมแต่แสงสุกสว่างอยู่พร่างพร้อย

พี่บุญน้อยนึกปองไม่ต้องการ

ครั้นแสงทองรองเรืองอร่ามฟ้า

สกุณาร่ำร้องก้องประสาน

ดาวก็เลื่อนเดือนก็ลับโพยมมาน

รวีวารส่องภพจบสกล

ก็ชวนกันวันทาลาพระแท่น

พี่สุดแสนเสียดายฝ่ายกุศล

ให้ครวญคร่ำร่ำรักพระทศพล

ก็ต่างคนต่างสะอื้นกลืนน้ำตา

พี่ปลดเปลื้องเครื่องภูษิตอุทิศถวาย

แล้วคลี่คลายคลุมพระแท่นที่แผ่นผา

ก็ชื่นชมโสมนัสด้วยศรัทธา

แล้วก้มหน้าตรวจน้ำเป็นคำไทย

ขอเดชะภูษาอานิสงส์

เมื่อปลดปลงชีวิตให้คิดได้

อย่ามีมารผจญเข้าดลใจ

เทพไทจงเห็นเป็นพยาน

ขอให้ข้าได้ตรัสตัดกิเลส

จะข้ามเขตแว่นแคว้นแดนสงสาร

ให้สำเร็จประโยชน์โพธิญาณ

เข้านิพพานพ้นทุกข์สุขสบาย

ขอให้สมปรารถนาอย่าช้านัก

สิ่งใดรักขอให้สมอารมณ์หมาย

ให้พบพระทุกชาติอย่าคลาดคลาย

อย่าให้ตายกลางอายุปัจจุบัน

ตั้งแต่ชาตินี้ไปจนได้ตรัส

อย่าข้องขัดทรัพย์สินทุกสิ่งสรรค์

การสิ่งใดที่หยาบบาปทุกอัน

การสิ่งนั้นอย่าได้พบประสบเลย

ครั้นตรวจน้ำสำเร็จเสร็จธุระ

พี่ลาพระแท่นทองนะน้องเอ๋ย

ประดิษฐ์กลอนอ่อนใจด้วยไกลเชย

ไม่หมดเลยเรื่องรักนี้หนักจริง

ถึงฟ้าดินอิสินธรศิงขรเขา

ไม่หนักเท่าทุกข์พี่นี้สักสิ่ง

เมื่อยามนอนนอนคิดจิตประวิง

อนาถนิ่งนึกถึงตะบึงไป

ใช่จะแกล้งแต่งประกวดอวดฉลาด

ทำนิราศรักมิตรพิสมัย

ด้วยจิตรรักกาพย์กลอนอักษรไทย

จึงตั้งใจแต่คำแต่ลำพัง

หวังจะให้ลือเลื่องในเมืองหลวง

คนทั้งปวงอย่าว่าเราบ้าหลัง

ถ้าใครเป็นก็จะเห็นว่าจริงจัง

ประดุจดังน้ำจิตเราคิดกลอน

ขอเดชะถ้อยคำที่ร่ำเรื่อง

ให้ลือเลื่องเลิศลักษณ์ในอักษร

ขอเชิญไทเทวราชประสาทพร

ให้สุนทรลือทั่วธานีเอยฯ

จบนิราศพระแท่นดงรัง

   

1