![]() |
|||||
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
ถึงบ้านจีนจีนมีที่นี่หรือ |
จึงเรียกชื่อจีนจามให้ความฉงน |
ชื่อบ้านจีนแล้วทำไมไทยปน |
โอ้ตำบลนี้วิบัติอัศจรรย์ฯ |
มาถึงบ้านนายไกรฤทัยหมอง |
คิดถึงเรื่องไกรทองยิ่งโศกศัลย์ |
เขาเรืองฤทธิ์คิดฆ่าชาละวัน |
แล้วชมขวัญโฉมศรีวิมาลา |
เมื่อนางกลับเป็นจระเข้เที่ยวเร่ร่อน |
ไกรทองนอนคนเดียวเปลี่ยวนักหนา |
คิดถึงน้องร้องไห้ฟายน้ำตา |
อุปมาเหมือนเรานี้เศร้าใจฯ |
มาถึงวัดอุทยานรำคาญจิต |
แล้วเพ่งพิศพฤกษาบุปผาไสว |
เหมือนสวนสวรรค์ขั้นฟ้าสุราลัย |
หอมดอกไม้น่าดมลมรำเพย |
ถ้าน้องมากับพี่จะชี้บอก |
ว่าโน่นดอกสาระภีเจ้าพี่เอ๋ย |
รสสุคนธ์คนชมภิรมย์เชย |
เหมือนพี่เคยชมน้องที่ห้องนอน |
เรียมครวญพลางห่างพ้นตำบลวัด |
โทมนัสน้อยใจอาลัยสมร |
พระสุริยงทรงรถบทจร |
ก็รีบร้อนเรือมาด้วยเร็วพลันฯ |
ถึงบางระนกบางโคเวียงเคียงกันอยู่ |
เหมือนอย่างคู่เชยชมภิรมย์ขวัญ |
ทั้งสองบางปากบางไม่ห่างกัน |
อัศจรรย์บ้านนี้ดีสุดใจ |
แต่ตัวพี่ผู้เดียวมาเที่ยวท่อง |
ให้ห่างห้องห่างมิตรพิสมัย |
เฝ้าครวญคร่ำรำพึงตะบึงไป |
ดั่งเปลวไฟเผาอกวิตกมาฯ |
ถึงโรงหีบเห็นเขาหีบแต่น้ำอ้อย |
ดูหยดย้อยรองไว้ได้นักหนา |
พี่รักน้องถ้าจะรองเอาน้ำตา |
คงมากกว่าน้ำอ้อยแล้วกลอยใจ |
ชะรอยรักโฉมฉายมาหลายชาติ |
เป็นบุพเพสันนิวาสหรือไฉน |
ยิ่งคิดถึงแก้วตาสุดอาลัย |
ในจิตใจพี่นี้ไม่มีสบายฯ |
ถึงบางม่วงเห็นพวงมะม่วงห้อย |
คิดจะสอยก็ไม่สมอารมณ์หมาย |
จะปีนต้นเล่าก็ยากลำบากกาย |
พี่นึกอายนิ่งอดเหมือนมดแดง |
อดมะม่วงอดได้พี่ไม่อยาก |
เป็นแต่ปากพูดแยบให้แอบแฝง |
แต่อดชมพี่นี้ตรมอุราแรง |
ไม่รู้แห่งที่จะอดซึ่งรสชม |
ชมอื่นก็ไม่ชื่นเหมือนชมน้อง |
ประสมสองสมจิตสนิทสนม |
ถึงจะได้ดอกฟ้าลงมาดม |
ในอารมณ์พี่ก็ยังไม่ยินดี |
ไม่ชอบเหมือนทรามเชยพี่เคยชิด |
พี่ยิ่งคิดถึงน้องให้หมองศรี |
ไม่เห็นกันวันหนึ่งเหมือนครึ่งปี |
หัวอกพี่ร้อนเริงดั่งเพลิงกอง |
อนาถจิตคิดไปแล้วใจหาย |
ไม่เว้นวายกำสรดสลดหมอง |
พี่เหลียวกลับลับคุ้งเฝ้ามุ่งมอง |
เรือก็ล่องลอยมาในสาครฯ |
ถึงบางใหญ่ใหญ่แต่ชื่อเขาลือเล่า |
ไม่ใหญ่เท่าทุกข์พี่ที่จากสมร |
พี่ทุกข์เท่าฟ้าดินคิรินทร |
ไม่หยุดหย่อนโศกาน้ำตาคลอ |
มาตามทางบางใหญ่ไกลนักหนา |
ไม่เห็นหน้าน้องแก้วพี่แล้วหนอ |
มาถึงด่านด่านเรียกให้เรือรอ |
แล้วเลยต่อไปในวนชลธารฯ |
มาถึงวัดส้มเกลี้ยงพอเที่ยงสาย |
สกนธ์กายร้อนเริงดังเหลิงผลาญ |
เห็นส้มเกลี้ยงน่าจะกลืนให้ชื่นบาน |
เปรี้ยวหรือหวานก็ไม่รู้ดูแต่ตา |
อันส้มสูกลูกไม้ทั้งหลายหมด |
ไม่เหมือนรสมิ่งมิตรขนิษฐา |
ครรไลเลยหลีกเลี่ยงส้มเกลี้ยงมา |
ไม่รอรารีบรัดตัดตำบล |
ไม่รู้จักชื่อบ้านรำคาญจิต |
นั่งพินิจแนวทางมากลางหน |
จนออกทุ่งมุ่งดูพระสุริยน |
เมฆหมอกมนหมองมัวเหมือนตัวเรา |
โอ้สงสารสุริยาฟ้าพยับ |
จะเลื่อนลับยุคุนธรศิงขรเขา |
พระอาทิตย์ดวงเดียวเปลี่ยวเหมือนเรา |
กำสรดเศร้าโศกมาเอกากาย |
ถึงมีเพื่อนเหมือนพี่ไม่มีเพื่อน |
เพราะไม่เหมือนนุชนาฏที่มาดหมาย |
มีเพื่อนเล่นก็ไม่เหมือนกับเพื่อนตาย |
มีเพื่อนชายก็ไม่เหมือนกับเพื่อนชม |
ถึงจะมีวิมานสถานทิพย์ |
ให้ลอยลิบเลิศมนุษย์สุดประถม |
ถ้าไม่มีคู่เคียงเรียงภิรมย์ |
จะเตรียมตรมตรึกหาเป็นอาจิณฯ |
มาตะบึงลุถึงหัวโยงเชือก |
เป็นโคลนเทือกท้องนาชลาสินธุ์ |
คลองก็เล็กน้ำตื้นเห็นพื้นดิน |
ไม่น่ากินน้ำท่าระอาใจ |
ต้องจ้างโยงโยงเรือเหลือลำบาก |
ให้ควายลากเรือเลื่อนเขยื้อนไหว |
ผูกระนาวยาวยึดเป็นพืดไป |
ทั้งเจ๊กไทยปนกันสนั่นอึง |
ไม่พักแจวพักถ่อให้รอรา |
เป็นราคาจ้างประจำลำสลึง |
ควายก็เดินดันดังกันกังกึง |
พอเชือกตึงเรือตามกันหลามมา |
จนพลบค่ำน้ำค้างลงพร่างพร้อย |
พระจันทร์ลอยเด่นดวงช่วงเวหา |
ดาวประดับวับวามอร่ามตา |
ดูท้องฟ้าอ้างว้างกลางอัมพร |
ดูแลทุ่งทุ่งก็กว้างเป็นว่างเปล่า |
เหมือนอกเราว่างเว้นไม่เห็นสมร |
เห็นแต่ทุ่งกับป่ายิ่งอาวรณ์ |
อนาถนอนนิ่งนึกคะนึงนาง |
ไม่มีมุ้งยุงกัดสะบัดหนาว |
ทั้งลมว่าวพัดต้องยิ่งหมองหมาง |
เห็นเพื่อนเรือเมื่อจวนจะรุ่งราง |
มีมุ้งกลางกอดเมียอยู่เคลียคลอ |
แสนอาภัพก็แต่เราช่างเปล่าปลอด |
ไม่ได้กอดเหมือนอย่างเขาหนอเราหนอ |
นอนก็อัดอุดอู้คุดคู้งอ |
ในใจคอคับแคบแทบจะตาย |
ทั้งคับใจคับที่เจ้าพี่เอ๋ย |
ไม่หลับเลยจนสว่างกระจ่างฉาย |
เขาโยงเรือรีบรุดไม่หยุดควาย |
มาจนสายจึงพ้นตำบลโยงฯ |
มาถึงด่านบ้านนอกออกแม่น้ำ |
ดูลึกล้ำน่ากลัวตะเข้โขง |
พี่นั่งขืนเรือไว้มิให้โคลง |
แจวชะโลงล่องน้ำมาลำเดียวฯ |
มาถึงลานตากฟ้าเวลาเช้า |
ยิ่งโศกเศร้าเสียใจอาลัยเหลียว |
เป็นทุ่งนาหญ้ารกวิหคเกรียว |
กะทุงเที่ยวเลียบหนองคอยมองปลา |
ถ้าแม้นพี่เป็นนกผกโผผิน |
จะโบยบินไปรับมิตรขนิษฐา |
นี่ตัวพี่เป็นมนุษย์สุดปัญญา |
จะไปมาสารพัดขัดกันดาร |
ทำกระไรขวัญใจจะได้รู้ |
พี่คิดอยู่ถึงนุชสุดสงสาร |
เชิญพระพายพัดพาเอาอาการ |
ให้ข่าวสารทราบจิตวนิดา |
ยิ่งรำพันตันจิตให้คิดถึง |
แทบประหนึ่งจะเด็ดดิ้นสิ้นสังขาร์ |
เรือก็ล่องตามคลองแม่น้ำมา |
ไม่รอรารีบผลัดกันแจวฯ |
ถึงงิ้วรายหมายคุ้งมุ่งเขม้น |
พี่แลเห็นต้นงิ้วเป็นทิวแถว |
แต่ตัวน้องพี่มองไม่เห็นแล้ว |
เห็นแต่แนวแม่น้ำนั้นร่ำไปฯ |
มาถึงบ้านสามประทวนหวนละห้อย |
น้ำเนตรย้อยซึมโซมชโลมไหล |
ให้หิวหอบบอบช้ำระกำใจ |
พลางครรไลล่องลอยนาวามาฯ |
ถึงนครไชยศรีมีโรงเหล้า |
เป็นของเมาตัดขาดไม่ปรารถนา |
ไม่เมาเหล้าเมาแต่รักหนักอุรา |
เมายิ่งกว่าเมาเหล้ายิ่งเศร้าใจ |
อันเมารักมักหลงพะวงรัก |
ใครจะชักฉุดไว้ก็ไม่ไหว |
กำลังมึนเมามัวไม่กลัวใคร |
คงจะไปหารักที่พักพิง |
อันทุกข์โศกโรคร้อนนอนไม่หลับ |
เกิดสำหรับร่างกายทั้งชายหญิง |
ด้วยรักกันฟั่นเฝือเหลือประวิง |
อนาถนิ่งนอนนึกระลึกกัน |
พี่พลัดพรากจากรักมาพักนี้ |
แทบชีวีเชษฐาจะอาสัญ |
ดั่งศรศักดิ์ปักอกวิตกครัน |
ให้อัดอั้นอึดใจครรไลจรฯ |
ถึงบางแก้วมองเขม้นไม่เห็นแก้ว |
เห็นแต่แนวคงคาพฤกษาสลอน |
มีวัดหนึ่งโตใหญ่ใกล้สาคร |
สง่างอนช่อฟ้าศาลาตะพาน |
ดูเบื้องบนอาวาสก็ลาดเลี่ยน |
ต้นตะเคียนร่มรกปกวิหาร |
มีทั้งสระโกสุมปทุมมาลย์ |
บ้างตูมบานเกสรอ่อนละออ |
พี่คิดถึงบัวทองของน้องแก้ว |
ยังผ่องแผ้วพรรณรายเสียดายหนอ |
กำลังสดมิได้เศร้าน่าเคล้าคลอ |
พี่เคยขอชมเล่นไม่เว้นวัน |
ตั้งแต่พี่พลัดพรากมาจากน้อง |
มิได้ต้องบัวทองประคองขวัญ |
ชมแต่บัวริมน้ำยิ่งรำพัน |
แสนกระสันต์โศกเศร้าจนเข้าคลอง |
พระสุริย์ฉายสายแสงขึ้นแข็งกล้า |
รับเรือมามิได้หยุดพี่สุดหมอง |
ยิ่งร้อนแดดแผดพยับอับละออง |
ไม่ผุดผ่องผิวคล้ำระกำใจ |
โอ้อกเอ๋ยเคยอยู่แต่ร่มร่ม |
ได้เชยชมชิดน้องไม่หมองไหม้ |
ถึงจะร้อนก็คงเย็นไม่เป็นไร |
แม่ดวงใจเคยพัดให้พี่นอน |
เมื่อยามหนาวแนบกายพี่หายหนาว |
ไม่ขดคราวเป็นสุขสโมสร |
เมื่อไรอีกจะได้แนบอุระนอน |
จะอาวรณ์วุ่นวายไปหลายวัน |
โอ้ปานนี้แก้วพี่จะเป็นไฉน |
สำราญใจหรือว่าน้องจะโศกศัลย์ |
พี่จากเจ้าเยาวมาลย์มานานครัน |
ยังไม่ทันสั่งความแม่ทรามเชย |
เป็นแต่ลอบชมชิดไม่สิทธิ์ขาด |
แรมนิราศร้างมานิจจาเอ๋ย |
ถ้าแม้นมาดคลาดเคลื่อนไม่เหมือนเคย |
ไม่อยู่เลยจะสู้ตายด้วยอายคน |
ขอเดชะความรักเป็นหลักแหล่ง |
ช่วยตบแต่งให้เขาเห็นว่าเป็นผล |
ขอเชิญเทพทุกสถานพิมานบน |
ช่วยเข้าดลใจมิตรให้ติดตามฯ |