![]() |
|||||
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
รำพันพลางทางมาถึงวัดสิงห์ |
พี่นั่งนิ่งนึกไปฤทัยหวาม |
ประณมหัตถ์ทัศนาพระอาราม |
แล้วมาตามคลองน้อยละห้อยใจฯ |
ถึงวัดท่าเป็นท่าที่เรือจอด |
ไปเปล่าปลอดเรือแพแลไสว |
สิ้นหนทางคงคาชลาลัย |
จะขึ้นไปเดินป่าพนาวัน |
สัปบุรุษหยุดเรืออยู่พร้อมหน้า |
เสียงเฮฮาอึงอื้อหฤหรรษ์ |
เป็นพวกพ้องเข้าประสบสมทบกัน |
จะผายผันพวกเดียวก็เปลี่ยวใจ |
ไปจ้างเกวียนชาวนาสิบห้าเล่ม |
บรรทุกเต็มพร้อมกันเสียงหวั่นไหว |
ทั้งหนุ่มสาวเถ้าแก่ออกแซ่ไป |
จะเดินไพรให้สนุกไม่ทุกข์ร้อน |
เขาออกเกวียนพร้อมหน้าเวลาบ่าย |
แลดูควายเดินระดับสลับสลอน |
เจ้าของหวดตะพดให้บทจร |
เกวียนสะท้อนกงสะเทือนเขยื้อนดัง |
ดูดุมวงกงหมุนเป็นฝุ่นฟุ้ง |
คนเดินมุ่งมาดมาทั้งหน้าหลัง |
ถืออาวุธกันภัยระไวระวัง |
ไม่รอรั้งรีบมาเป็นช้านานฯ |
ถึงบ้านธรรมศาลาพนาสณฑ์ |
เป็นบ้านคนใหญ่โตรโหฐาน |
เขาบอกว่าบ้านนั้นแสนกันดาร |
ตำข้าวสารกรอกหม้อแต่พอกิน |
ดูเหย้าเรือนเคหาน่าสังเวช |
เต็มทุเรศรุงรังไปทั้งสิ้น |
ถึงยากจนทนสู้เขาอยู่ชิน |
ไม่ทิ้งถิ่นที่ทางให้ร้างโรย |
แต่ตัวเราร้างนุชมาสุดเนตร |
แสนทุเรศร่ำไห้ไม่วายโหย |
ไม่มีความแช่มชื่นสะอื้นโอย |
มีแต่โกยทุกข์ล้นมาเดินทาง |
ดูคนอื่นชื่นแช่มเขาแย้มยิ้ม |
ไม่เหงาหงิมเหมือนพี่ที่หมองหมาง |
พูดผู้หญิงหยอกเอินให้เพลินพลาง |
มาตามทางหิมวันสนั่นมาฯ |
ถึงพระโฑณารามพราหมณ์เขาสร้าง |
เป็นพระปรางค์แต่บูราณนานนักหนา |
แต่ครั้งตวงพระธาตุพระศาสดา |
พราหมณ์ศรัทธาสร้างสรรค์ไว้มั่งคง |
บรรจุพระทะนานทองของวิเศษ |
พี่น้อมเกศโมทนาอานิสงส์ |
จุดธูปเทียนอภิวันท์ด้วยบรรจง |
ถวายธงแพรผ้าแล้วลาจร |
ดูสองข้างมรรคาล้วนป่าไผ่ |
คนตัดใช้ทุกกอตอสลอน |
หนามแขนงแกว่งห้อยรอยเขารอน |
บ้างเป็นท่อนแห้งหักทะลักทะลุย |
ที่โคนไผ่ไก่ป่ามาซุ่มซุก |
บ้างกกกุกเขี่ยดินกินลุกขลุ่ย |
พอเห็นคนวนบินดินกระจุย |
เห็นรอยคุ้ยรอบข้างหนทางจรฯ |
บรรลุถึงพระประธมประทับหยุด |
สัปบุรุษเซ็งแซ่แลสลอน |
แวะขึ้นไปไหว้พระประธมประณมกร |
สโมสรโสมนัสนมัสการ |
ต่างระรื่นชื่นจิตพิศวง |
เทียวเวียนวงไหว้รอบขอบสถาน |
พระปรางค์ใหญ่มีอยู่แต่บูราณ |
สูงตระหง่านยอดเยี่ยมเทียมอัมพร |
มีบันไดขึ้นไปถึงทักษิณ |
แลเห็นสิ้นทุกทิศจิตสยอง |
ดูต้นไม้ในป่าเหมือนหญ้าบอน |
ระเนนนอนแนบชิดติดสุธา |
ดูแผ่นดินรายรอบเป็นขอบคัน |
เป็นหมอกควันแลไปไกลนักหนา |
ข้างพื้นล่างกลางลานชานชลา |
มีพฤกษาร่มรื่นเป็นพื้นทราย |
พี่ชมพลางทางนบอภิวาท |
สุคนธชาติบุปผาบูชาถวาย |
สัปบุรุษพร้อมพรั่งทั้งหญิงชาย |
กราบถวายวันทาแล้วลาลง |
เที่ยวเลี้ยวลัดทัศนาพระอาวาส |
ดูอนาถน้ำจิตพิศวง |
บริเวณวัดวาเป็นป่าดง |
ดูงวยงงร่วงรามาช้านาน |
พระประธมของบรมกษัตริย์สร้าง |
เป็นพระปรางค์ใหญ่โตรโหฐาน |
สูงเท่านกเขาเหินเกินทะยาน |
พระยาพาลก่อสร้างไว้ล้างกรรม |
เธอหลงฆ่าบิตุรงค์ทิวงคต |
เขารู้หมดเรื่องความไม่งามขำ |
เธอทำผิดคิดเห็นไม่เป็นธรรม |
จึงกลัวกรรมก่อสร้างพระปรางค์ทอง |
พี่ได้ฟังเรื่องราวเขาเล่ามาก |
เมื่อยามยากนึกไปฤทัยหมอง |
ไหว้พระปรางค์ทางนึกระลึกน้อง |
ให้ตามตรองเตรียมใจครรไลลา |
มาถึงเกวียนเจียนใจจะขาดหาย |
เหลียวดูซ้ายแล้วก็แปรมาแลขวา |
เห็นผู้หญิงอื่นอื่นไม่ชื่นตา |
แล้วรีบมาพร้อมกันสนั่นดังฯ |
ข้ามห้วยหนองคลองบึงถึงอ้ายก้อง |
สกุณร้องรัญจวนถึงนวลหงส์ |
พอโพล้เพล้เวลาจะค่ำลง |
ให้งวยงงง่วงเหงาเศร้าฤทัย |
เสียงจักจั่นแจ้วแจ้วให้แว่วหวาด |
หนาวอนาถนึกน่าน้ำตาไหล |
ยะเยือกเย็นเส้นหญ้าพนาลัย |
วังเวงใจจรมาในราตรี |
แล้วหยุดนอนในป่าเวลาดึก |
คะนึงนึกถึงน้องยิ่งหมองศรี |
หักใบไม้ปูลาดกวาดธุลี |
กองอัคคีรอบเกวียนเวียนระวัง |
บ้างกินโภชนากระยาหาร |
ต่างสำราญสู่สมอารมณ์หวัง |
บ้างก็หาร่มไม้ชิดให้ปิดบัง |
พอยับยั้งกายตามยามกันดาร |
แต่ตัวพี่นอนกลางหว่างต้นไม้ |
ยกมือไหว้เทวดาพฤกษาสาณฑ์ |
อย่าให้มีโพยภัยสิ่งใดพาน |
นมัสการแปดทิศแล้วนิทรา |
จนดึกดื่นเดือนสว่างกระจ่างแจ้ง |
จำรัสแสงส่องสอดลอดพฤกษา |
น้ำค้างพรมลมว่าวหนาวอุรา |
พี่ห่มผ้าซ้อนผืนไม่ชื่นใจ |
ไม่อุ่นเหมือนแนบกายสายสวาท |
โศกไสยาสน์เกลือกกลับไม่หลับใหล |
ลุกขึ้นนั่งหลังอิงแล้วผิงไฟ |
ได้ยินไก่เถื่อนขันสำคัญยาม |
เสียงจังหรีดกรีดกริ่งระหริ่งร้อง |
เย็นสยองเยี่ยมย่างเข้ายามสาม |
จนแสงทองส่องฟ้าสง่างาม |
เรืองอร่ามรุ่งรางสว่างวัน |
ต่างคนก็ตื่นขึ้นพร้อมหน้า |
แล้วรีบมาเร็วไวในไพรสัณฑ์ |
ระยะทางกลางไพรยังไกลครัน |
แรมอรัญทุเรศสังเกตมา |
หนทางเกวียนเตียนโล่งตลอดลิ่ว |
สะพรั่งทิวแถบไม้ไพรพฤกษา |
ระบัดใบรมรื่นพื้นสุธา |
ดาษดาดอกดวงก็ร่วงราย |
บ้างทรางผลหล่นหนักเป็นอักนิฐ |
ไม่พักปลิดก็ได้ดังใจหมาย |
ถ้าน้องมาเห็นจะพาพี่สบาย |
จะชวนสายสุดที่รักให้ชมดง |
ถ้าเหาะได้พี่จะกลับไปรับน้อง |
มาชมท้องทุ่งท่าป่าระหง |
ยิ่งคิดถึงมิ่งมิตรจิตพะวง |
แทบจะปลงชีวาลีลาจรฯ |
มาถึงลาดหญ้าไทรหัวใจหาย |
ตะวันสายเสียใจด้วยไกลสมร |
เห็นไฟป่าไหม้ป่ายิ่งอาวรณ์ |
ทรวงพี่ร้อนเริงแรงดังแสงไฟ |
เห็นลมพัดหัดควันไปปั่นป่วน |
เหมือนลมหวนโหยจิตพิสมัย |
เห็นหนองน้ำน้ำชุ่มสนุ่นไคล |
เหมือนน้ำใจที่พี่ช้ำระกำตรอม |
ไม่มีสุขทุกข์โศกด้วยโรครัก |
อกจะหักเสียด้วยร้างห่างถนอม |
เดินก็เหนื่อยเมื่อยหนักสะบักสะบอม |
จนซูบผอมผิวคล้ำสิ้นน้ำนวลฯ |