เรื่องของงานข่าวหนังสือพิมพ์
เขียนบทความ

ความคิดเห็นของผมนั้นเห็นว่า งานที่อยากพอๆกับการเขียน "บทบรรณาธิการ"ก็คือ บทความ นั่นละครับ บทความอยากกว่าเขียนข่าวก็เพราะ ถ้าใครสักคนอ่านบทความของเรา เขาต้องสนใจในเรื่องที่กำลังอ่านอยู่แล้ว นั่นหมายถึงว่า คนที่มาอ่านบทความของเรา อาจจะเป็นคนที่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องที่เราเขียน ดังนั้น การเขียนบทความ ต้องเขียนด้วย ความรอบรู้ และรอบคอบที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้ เครดิตจะได้หรือเสีย ก็ขึ้นอยู่กับ บทความไม่น้อย

เมื่อจะเขียนบทความสักเรื่อง นอกจากเราจะรู้เรื่องที่จะเขียนดีอยู่แล้ว ต้องวาง เป้าหมาย ที่ชัดเจนเอาไว้ด้วย ภาษาที่วงการที่นิยมพูดกันคือ ต้อง"ฟันธง" (สมัยเรียนกฎหมาย อาจารย์ผู้สอนวิชากฎหมาย ก็มักจะใช้คำนี้) ซึ่งหมายถึงว่า เราเห็นอย่างไร เกี่ยวกับเรื่อง ที่เราเขียน ไม่ต้อง "กั๊ก" ผิดเป็นผิด พลาดเป็นพลาด ทั้งนี้ทั้งนั้น การเขียนบทความ ต้องตระเตรียมข้อมูล ความเป็นเหตุเป็นผล ประกอบด้วยเสมอ

บทความในหนึ่งชิ้นนั้น หากมีแต่ข้อมูลถ่ายเดียว ไม่มีตัวละคร หรือ ตัวบุคคลมาประกอบ ก็อาจจะแห้งแล้งไป ควรหาตัวบุคคล เข้ามาพูด มากล่าว หรือ อ้างถึงคนเหล่านั้นในบทความ ด้วย และก็เช่นเดียวกัน ถ้ามีแต่บทความ มีการอ้างอิงถึงตัวบุคคล ก็ยังจะแห้งแล้งอยู่เช่นเดิม หากไม่มี ข้อมูล หรือ ตัวเลข ในลักษณะตาราง รวมไปจนถึงภาพกราฟฟิค ต่างๆ สิ่งเหล่านี้เสมือน เป็นวัตถุดิบที่คนเขียน ควรคำนึงถึง

ก่อนเริ่มต้นลงมือเขียน แน่นอน เราต้อง "ฟันธง"อย่างที่กล่าวข้างต้น คือ เราเห็นบทสรุป ของเรื่องที่เราจะเขียนอย่างไร เมื่อเห็นอย่างนั้น ต้องมีส่วนประกอบอื่นๆ มาเสนอให้ผู้อ่าน พิจารณาเพื่อให้เห็นสอดคล้องกับเรา

ทั้งนี้ อาจมีคำถามว่า มีความจำเป็นแค่ไหนที่จะต้อง พล็อตโครงเรื่องไว้ก่อน ในภาคสนามแล้ว ไม่เคยพล็อตเรื่องเลย หากเป็นผู้เขียนบทความเอง แต่ถ้าให้ผู้ใต้บังคับบัญชา เป็นผู้เขียน เราก็อาจจะช่วยเขาพล็อต ช่วยเขาวางกรอบของบทความไปด้วย เพื่อให้ครอบคลุม ทุกแง่มุม ที่จำเป็นต่อการเขียนบทความชิ้นนั้น ๆ ในขณะเดียวกัน ใช่ว่า เราจะ"ฟันธง"คนเดียว ในภาคปฏิบัติแล้ว โต๊ะข่าว หรือ ที่ประชุมข่าว มักจะกำหนดว่า เรื่องที่เราจะเขียนนั้น ส่วนใหญ่เห็นอย่างไร อภิปรายกัน รับฟังความเห็นซึ่งกันและกัน จากนั้นค่อยรับภาระไปเขียน พวกเรามักจะทำงานกันอย่างนี้

อย่างไรก็ดี แม้จะไม่มีพล็อตเรื่องเป็นเอกสาร ในความคิดของเรา ย่อมจะมีเค้าโครงอยู่แล้ว ว่าจะเขียนอย่างไร ควรจะมีอะไรมาประกอบ บทสรุปจะเป็นอย่างไร จากนั้นก็ลงมือเขียน นักข่าวส่วนใหญ่ เวลาเขียนบทความ จะไม่มีงานค้างคา เรียกว่า ถ้าเริ่มต้นลงมือเขียน ก็จะเขียนบทความชิ้นนั้นๆไปจนจบ ปล่อยให้ความคิดลื่นไหลไปทีเดียว มากกว่าจะเขียน ครึ่งๆ กลางๆ แล้วกลับมาเขียนใหม่

ธรรมชาติของคนข่าวแล้ว การเขียนมักจะไม่เป็นปัญหา แต่ปัญหาใหญ่มักจะตัดสินใจไม่ได้ว่า จะเขียนบทความเรื่องอะไรดี หากตั้งหลักได้ว่าจะเขียนเรื่องอะไร ในชั้นต่อไป ก็ไม่เป็น ปัญหา แล้ว เป็นอย่างนี้จริงๆ

ถ้าจะเขียนบทความเรื่อง รวมบัญชีของแบงก์ชาติ ผู้เขียนก็ควรจะตัดสินใจเลือกข้างไปเลย ว่า เห็นด้วยกับการรวมบัญชี หรือเห็นต่างเป็นอย่างอื่น เมื่อได้"ธง"ที่ชัดเจนแล้ว ก็ค้นหาหลักฐาน และหาข้อดีข้อเสีย ของการรวมบัญชี กับไม่รวม มาใช้เป็นเครื่องมือประกอบการตัดสินใจ ของเรา เราควรหาข้อมูลเดิมมาเป็นพื้นฐานว่า เมื่อก่อนเป็นอย่างไร ปัจจุบันเป็นอย่างไร และกำลังจะแก้ไขใหม่เป็นอย่างไร เหตุผลที่เขาจะแก้มีอย่างไร ถ้าไม่แก้ไขแล้ว จะทำให้ เสียหาย หรือไม่เสียหาย อย่างไร มุมมองของฝ่ายสนับสนุนในเรื่องนี้ว่าอย่างไร ฝ่ายที่คัดค้าน เรื่องนี้ ว่าอย่างไร ต่างประเทศเป็นอย่างไร มีประเทศที่พัฒนาแล้ว รวมหรือไม่รวม มีผลอย่างไร เราควรจะค้นหาความจริงในเรื่องนี้ว่า ทำไมเขาต้องรวมบัญชีเข้าด้วยกัน

โดยปกติแล้วคงไม่มีใคร อยู่ดีๆก็ปรับโน่น ปรุงนี่ ด้วยข้ออ้างแบบบางเบาว่า ไม่มีอะไรทำ การที่จะทำอะไร เขาต้องมีข้อมูลมากมายพอสมควร ที่จะตัดสินใจเช่นนั่น เรียกว่า ในสายตาของเขาแล้ว เห็นว่า มีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่จะต้องรวมบัญชีแบงก์ชาติให้ได้ ถ้าหาคำตอบให้กับ"ปม"นี้ได้ นั่นละครับ จะทำให้เราเข้าใจเรื่องราวได้อย่างชัดเจนที่สุด และช่วยให้เราตัดสินใจได้ว่า ควรจะเลือกเดินหรือ ฟันธงไปทางไหน

ขณะเดียวกัน เราต้องฉุกคิดเช่นกัน ใช่ว่าต้องฟังเหตุผลของเขาเท่านั้น เราควรจะถอยห่าง ออกมา เพื่อมองดูอย่างถี่ถ้วน ลอง"สวมรองเท้า"ของเขา สักหนึ่งข้าง เห็นคล้อย ไปตามนั้น และต้อง"สวมรองเท้า"อีกหนึ่งข้าง ของฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยด้วย และพยายามค้นหาคำตอบให้ได้ว่า ทำไมจึงมีฝ่ายไม่เห็นด้วย

เมื่อมีข้อมูลค่อนข้างจะครบครัน และเราเองก็มีความเข้าใจต่อเรื่องนั้น ๆ ดีพอ ข้อเขียนของเรา ก็จะเป็นที่น่าสนใจของผู้อ่านได้

สิ่งที่ยากกว่าการเขียน ก็คือ การลงมือเขียนครับ

(HOME) (บ.ก.ธรรมดา) (เล่าเรื่องคอมพิวเตอร์) (พุทธศาสนาเชิงประวัติศาสตร์) (NEXT)

 

1