บันทึกมหาวิกฤตเศรษฐกิจเมืองไทย (2) รัฐบาล"บิ๊กจิ๋ว" ดูเหมือนโชคชะตาจะไม่เข้าข้างใครสักคน ระหว่างผู้นำประเทศ กับประชาชนทั้งประเทศ เพราะความหายนะทางเศรษฐกิจได้เกิดขึ้นในระหว่างการบริหารงานของ ผู้นำประเทศ ที่ชื่อว่า พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ หรือ "บิ๊กจิ๋ว" พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรี เป็นผู้คุมอำนาจรัฐ และรับผิดชอบต่อการตัดสินใจ ของกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย จึงไม่ต้องสงสัยในความรับผิดชอบ ที่พึงมีในฐานะผู้นำ นายกรัฐมนตรีผู้นี้ มีอดีตเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง ในฐานะอดีตผู้บัญชาการทหารบก และมีบทบาททางการเมืองสูง ในสมัยรัฐบาลพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์, พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ได้ลาออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก ก่อนครบเกษียณอายุราชการ เพื่อเข้ามาเล่น การเมืองตามครรลองประชาธิปไตย ใช้เวลาบนสนามการเมืองอย่างสมบูรณ์แบบด้วยระยะเวลาอันสั้น เพียง 6 ปี ก็บรรลุเป้าหมาย สูงสุด คือ ก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 22 ของประเทศไทย และก้าวสู่ตำแหน่งนี้ด้วย ท่วงท่าสง่างามไร้ข้อสงสัย เป็นหัวหน้าพรรคความหวังใหม่ที่มีจำนวน ส.ส. ในสภามาเป็น อันดับหนึ่งคือ 125 เสียง ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ พรรคการเมืองเก่าแก่ มีเสียงรองลงมา คือ 123 เสียง และรัฐบาลใหม่ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 11 และ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2539 หรือ ก่อนเศรษฐกิจของประเทศจะเข้าสู่วันวิกฤตเพียง 6 เดือนเศษ รัฐบาลพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นรัฐบาลผสม ประกอบด้วย 6 พรรคการเมือง คือ พรรค ความหวังใหม่ พรรคชาติพัฒนา พรรคกิจสังคม พรรคประชากรไทย พรรคมวลชน และ พรรคเสรีธรรม มีคะแนนเสียงในสภาผู้แทนราษฎรทั้งสิ้น 225 เสียง ส่วนพรรคการเมือง ฝ่ายค้านประกอบด้วย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย พรรคเอกภาพ พรรคพลังธรรม และพรรคไท มีอยู่ 172 เสียง ผู้นำฝ่ายค้าน คือ นายชวน หลีกภัย หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ภายใต้การบริหารงานของรัฐบาลพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เศรษฐกิจของประเทศ ได้เข้าสู่จุด วิกฤตอย่างรุนแรง อย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อนในรอบหลายสิบปี (ในอดีตที่ลึกลงไปหลายชั้น ไทยเคยประสบวิกฤตปัญหาทางการเงิน คล้ายๆปัจจุบันเช่นกัน) ความรุนแรงที่เกิดขึ้น ถึงขั้น รัฐต้องสร้างหนี้มหาศาล ด้วยการกู้ยืมเงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(International Monetary Fund-IMF) เป็นวงเงินมหาศาล ประมาณ 17,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น เงินไทยเป็นจำนวนเงินหลายแสนล้านบาท และปิดสถาบันการเงินไปหลายสิบแห่ง อย่างไม่ เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์สถาบันการเงินไทย อย่างที่ทราบกัน ช่วงที่เข้ามาบริหารประเทศนั้นแม้นว่า ความมั่งคั่งของเศรษฐกิจไทยยังดำรงอยู่ แต่ก็มีปัญหา มากมายให้รัฐบาลพล.อ. ชวลิต ยงใจยุทธต้องแก้ไขปัญหา สภาพเป็นอย่างไรนั้น ฟังความ ได้จากเอกสาร สรุปผลความก้าวหน้าในการดำเนินงานของรัฐบาล ในรอบ 6 เดือน ของรัฐบาลชุดดังกล่าว ......."ช่วงที่รัฐบาล(พล.อ.ชวลิต)เข้ามารับหน้าที่ในการบริหารราชการแผ่นดินนั้น แม้ปัญหา เศรษฐกิจจะเป็นปัญหาใหญ่ ที่ดูเหมือนจะทำให้รัฐบาลนี้ จะต้องให้น้ำหนักในการเข้ามาแก้ไข ปัญหาดังกล่าวมากเป็นพิเศษก็ตาม แต่ความเป็นจริงในทางปฏิบัติ รัฐบาลจำเป็นที่จะต้อง "แบ่งภาค" เพื่อที่จะเข้าไปดูแลแก้ไขปัญหาสำคตัญในเรื่องอื่นๆด้วย รวมทั้งภารกิจที่เป็น "พันธะทางกฎหมาย" ที่ต่อเนื่องมาจากรัฐบาลชุดเก่า สภาพเช่นนี้เกิดขึ้น ทุกครั้ง ที่มีการเปลี่ยนรัฐบาลในประเทศไทย ซึ่งจะเป็นรัฐบาลผสมหลายพรรคการเมือง และ รัฐบาลชุดเดิมจะสิ้นสุดการเป็นรัฐบาลก่อนครบวาระเสมอ งานคั่งค้างจากรัฐบาลชุดเดิม มักจะกลายเป็นปัญหาเร่งด่วนเฉพาะหน้า สำหรับรัฐบาลชุดต่อไป ที่จะต้องเข้าไปสะสางหรือ สานต่อ หลายเรื่องต้องมีการทบทวนเพื่อให้เหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์ และสภาพแวดล้อม ที่เปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งเพื่อสนับสนุนส่งเสริมให้การดำเนินการ ตามนโยบายของรัฐบาลใหม่ เป็นไปโดยราบรื่นขึ้นด้วย สภาพดังกล่าวแม้ว่าจะทำให้เกิดปัญหาความไม่ต่อเนื่อง ในการ พัฒนาประเทศ แต่ก็เป็นความจำเป็นของกระบวนการ ขั้นตอน และวิธีการ บริหารราชการ แผ่นดินของรัฐบาลในประเทศที่มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลบ่อยๆ "...... อย่างไรก็ดี รัฐบาลชุดนี้เกิดขึ้นมาได้ก็เนื่องจาก นายบรรหาร ศิลปอาชา นายกรัฐมนตรี คนก่อนหน้า ได้ประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎร และให้มีการเลือกตั้งทั่วไป ในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2539 และรัฐบาลใหม่จากชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งดังกล่าว ก็ยังเป็นรัฐบาล รัฐบาลผสม ที่เกิดจากพรรคการเมืองเดิมที่เคยร่วมทำงานกันมาในรัฐบาล ชุดนายบรรหาร ศิลปอาชานั่นเอง ภาวะเศรษฐกิจขณะที่รัฐบาลดังกล่าว ได้เข้ามาบริหารประเทศช่วงปลายปี 2539 อยู่ใน ระยะชะลอตัวอย่างมาก อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย ได้ขยายตัวลดลงเหลือ 6.7% ในขณะที่ก่อนหน้าหลายปี การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยเป็นตัวเลข 2 ตัว คือ กว่า 10 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป ทั้งนี้มีปัญหามาจากการส่งออกของไทยทำได้น้อยลง ขณะที่การลงทุน ภาคเอกชนได้ถดถอยลง เงินเฟ้อในช่วงเวลานี้อยู่ในระดับ 5.9 % แต่การขาดดุล บัญชีเดินสะพัดกลับสูงขึ้นถึ้ง 8.2 %ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Product:GDP)(บ้างเรียกว่า "ผลิตภัณ์ในประเทศเบื้องต้น") นอกจากนี้แล้วรัฐบาลใหม่ยังเผชิญปัญหา ความมั่นคงของสถาบันการเงิน ปัญหาอุปทาน ส่วนเกินของอสังหาริมทรัพย์ หรือที่เรียกกันว่า โอเวอร์ซัพพลายส์ รวมทั้งปัญหาภาวะซบเซา ของตลาดหลักทรัพย์ อีกด้วย เมื่อเห็นปัญหาดังกล่าว รัฐบาลได้กำหนดเป้าหมายเศรษฐกิจมหภาคใหม่ โดยตั้งเป้า ให้เศรษฐกิจขยายตัวมากกว่าเดิม โดยตั้งเป้าหมายเศรษฐกิจที่สำคัญ ๆ ดังนี้ หนึ่งเศรษฐกิจ ขยายตัวในอัตรา 7.0-7.5 % ต่อไปในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า สองเงินเฟ้ออยู่ระดับ 5.0 % ในปี 2540 และต่ำกว่า 5.0 % ในปีต่อๆไป สามการค้าส่งออกมีมูลค่าสูงขึ้นในอัตรา 7-10% ในปี 2540 และจะอยู่ในระดับ 10 % หรือสูงกว่าในปีต่อๆไป สี่ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดอยู่ใน อัตรา 7.5-7.9 % ของ GDP ในปี 2540 และจะลดต่ำลงตามลำดับในปีต่อๆ ไป นอกจากนี้ยังวางแนวนโยบาย และมาตรการเร่งด่วนเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ เป็นต้นว่า ให้ปรับสัดส่วน ให้นโยบายการคลัง มีบทบบาทในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ของประเทศเพิ่มมากขึ้น ได้ดำเนินนโยบายงบประมาณสมดุล หรือเกินดุลต่อไป โดยเฉพาะให้ การรับ-จ่าย งบประมาณเงินสดเกินดุล ได้ดำเนินนโยบายประหยัด และลดการลงทุนของ ส่วนราชการ และรัฐวิสาหกิจ โดยเฉพาะงบลงทุนที่มีลำดับความสำคัญต่ำ และใช้เงินตรา ต่างประเทศในอัตราสูง รวมไปจนถึงตั้งเป้าแก้ไขปัญหาธนาคารกรุงเทฯพาณิชยการ จำกัด (มหาชน)(BBC) ให้เสร็จสิ้นไปโดยเร็ว (ฝ่ายค้านอภิปรายโจมตีในเรื่องนี้มาก) ภายใต้การบริหารในช่วงต้นๆ ความเป็นจริงของภาวะเศรษฐกิจไทยกลับตกต่ำอย่างหนัก เรียกว่า ความผันผวนเกินขึ้นตลอดเวลาตั้งแต่ต้นปี 2540 บรรดาธุรกิจเอกชนได้ทะยอยปลด พนักงานออก งบประมาณแผ่นดินมีปัญหารุนแรง เดิมตั้งเป้าไว้ก็ต้องตัดทอนงบประมาณใหม่ ลงครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพแท้จริง ภายหลังจากที่รัฐบาลพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ได้บริหารประเทศมาระยะหนึ่ง ก็ได้ตัดสินใจ ประกาศลอยตัวค่าเงินบาท พร้อมได้สั่งปิดสถาบันการเงินไปหลายแห่ง แต่ปัญหาต่างๆ ก็ยังรุมเร้ารัฐบาลอยู่เช่นเดิม (แนวนโยบายสั่งปิดปิดสถาบันการเงิน เกิดในสมัยรัฐบาลนี้ และขั้นตอนการปิดดำเนินการได้ต่อเนื่องมาจนถึงรัฐบาลนายชวน หลีกภัย) ทางด้านการคลังนั้น รัฐบาลได้ตัดสินใจแก้ปัญหาการคลังของประเทศ ด้วยการประกาศขึ้น อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มจาก 7 % เป็น 10 % พร้อมกับประกาศขึ้นภาษีสรรพสามิต อีกหลาย รายการ ผลที่ติดตามมาประชาชนเดือนร้อนจากร้านค้าฉวยโอกาสปรับราคาขึ้น เรียกว่า เดือดร้อนกันถ้วนหน้า ความเดือนร้อนจากมหาวิกฤตเศรษฐกิจได้กระทบลงไปถึงเด็กๆนักเรียนในครัวเรือนด้วย พ่อแม่ที่ส่งลูกเรียนในโรงเรียนที่มีค่าใช้จ่ายสูง จำต้องย้ายลูกไปเข้าโรงเรียนที่มีใช้ค่าใช้จ่าย ถูกกว่าแทน บ้างก็อาจจะย้ายด้วยเหตุผลเพราะ พ่อแม้มีเหตุอันต้องย้ายภูมิลำเนาเพื่อหลบหน้า ผู้คน หรือหนีหนี้ หรือกลับสู่มาตุภูมิเดิม สิ่งที่สำคัญและมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างยาวนานที่รัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ได้ตัดสินใตดำเนินการก็คือ การสั่งปิดสถาบันการเงินในประเทศมากถึง 58 แห่ง เพราะเพียงคำประกาศจะปิด ก็ทำให้ระบบการเงินในประเทศระส่ำระสายโกลาหล ระบบ เครดิตในประเทศได้หดหายไป ประเทศขาดสภาพคล่อง เกิดการแตกตื่นว่าค่าเงินบาท จะล่วงลงต่ำต่อไปอีก ทำให้ดีมานด์ต่อเงินดอลลาร์สูงขึ้น ค่าเงินบาทยิ่งอ่อนตัวลงเป็นลำดับ รัฐบาลพ.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อยากที่จะยืนหยัดต่อไปได้อีกแล้ว!! (HOME) (บ.ก.ธรรมดา) (คิดถึงไทยอาหม) (เล่าเรื่องคอมพิวเตอร์) (NEXT)
|