![]() |
คิดถึงไทยอาหม
|
เมื่อปี 2539 ได้มีโอกาสไปท่องเที่ยวประเทศอินเดีย แต่ก็ได้ไปส่วนน้อย เมื่อเทียบกับ สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ที่อินเดียมี เพราะประเทศนี้อุดมไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยว โดย เฉพาะโบราณ สถาน ประเทศแห่งนี้เป็นดินแดนแห่งหนึ่งที่คนไทย ควรหาโอกาส ไป เยี่ยมเยือนบ้าง คราวเดียวกันที่ไปเยือน ได้สอบถามเจ้าหน้าที่ไทยถึงแคว้นอัสสัม เพราะคิดถึง "คนไทย" เชื้อสายไทยที่พลัดพรากกันมานานนม แต่ก็ต้องผิดหวัง เจ้าหน้าที่บอกว่า ทางการอินเดีย จะไม่ชอบใจนักที่จะให้คนไทยจาก "สยาม" เข้าไปในพื้นที่นั้น โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ทาง การทูตยิ่งแทบจะไม่มีโอกาสได้ไปเลย เขาว่าทางการอินเดียไม่ห้าม แต่ก็ไม่สบายใจหาก จะอนุญาตให้เข้าไปในพื้นที่ดังกล่าว แคว้นอัสสัมอยู่ด้านตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย (มีบังกลาเทศขวางกลางยกเว้นส่วนบน ถ้าบังกลาเทศกินดินแดนขึ้นเหนือได้อีกเล็กน้อย อัสสัมจะถูกตัดขาดจากดินแดน ส่วนใหญ่ ของอินเดียทันที) แคว้นนี้มีแม่น้ำพรหมบุตรเป็นสายเลือดใหญ่ และหล่อเลี้ยงเผ่าพันธุ์ไทย มาแต่โบราณ แคว้นอัสสัมส่วนหนึ่งติดกับพม่าและจีน จึงไม่ต้องสงสัยว่า บริเวณแถบนี้มีคน ไทยอยู่อาศัยได้อย่างไร ต้องขอบคุณผู้อาวุโสวงการหนังสือพิมพ์ "สารนาถ" จากหนังสือพิมพ์เสถียรภาพ(หนังสือเก่า) ที่กระตุกความรู้สึกให้คนไทยคนหนึ่ง คิดถึงคนไทยร่วมเชื้อชาติที่อยู่ไกลออกไป และเป็น "สื่อ" ที่ทำให้ "ไทยอาหม" ไม่หมดไปจากความรู้สึกของคนไทยสยาม คนไทยไม่ว่าสัญชาติอะไร ก็คือ คนไทย เป็นคนไทยเผ่าพันธุ์เดียวกัน มีบรรพบุรุษเดียวกัน คุณ"สารนาถ"เดินทางไปแคว้นอัสสัมเมื่อเดือนเมษายน 2497 แล้วได้บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับ ไทยอาหมไว้อย่างน่าสนใจยิ่ง เก็บรายละเอียดได้ทุกแง่ทุกมุม และได้ตีพิมพ์ออกมาเป็นหนังสือ ชื่อ "เยี่ยมไทยอาหม สายเลือดของเรา" ....."นี่หัว...นี่ผม...นี่ดั้ง- - - อ้าว ! บางกอกเรียกจมูกต่างหาก นี่งอนตา เราบอกว่า บางกอก เรียกคิ้ว เขาบอกว่าไม่ใช่ คิ้วคือนี่ต่างหาก แล้วชี้ที่ฟัน อ๋อ! อย่างนี้เชียงใหม่เรียกว่า เขี้ยว เขาจับที่ใบหูบอกว่า นี่ปีก ไฮ้ ! ปีกเมื่อไร หูต่างหาก เขาพยักหน้า บอกว่าปีกก็ได้หูก็ได้ ข้าพเจ้าชี้ที่แว่นตา ถามว่าอะไร เขาตอบว่า ม่านตา ชี้ที่รองเท้าถามว่าอะไร เขาตอบว่า คีบตีน ชี้ที่รถไฟถามว่าอะไร ตอบว่าแรงไฟ ชี้ที่รถม้าถามว่าอะไร ตอบว่าแรงม้า ชี้ที่เกวียนถามว่าอะไร ตอบว่าแรงโง(วัว) ชี้ที่รถจักรยานสองล้อถามว่าอะไร ตอบว่าแรงน่อง ชี้ที่เครื่องบินถามว่าแรง อะไร ตอบว่าแรงเมล์ ชี้ที่แหวนถามว่าอะไร ตอบว่าสับปลับ ถามว่ากินข้าวรู้ไหม ตอบว่ารู้ คือ ข้าวกิน เอามือทำท่าเช็ดน้ำตาร้องไหร ถามว่าอะไร ตอบว่าตาน้ำไหล ทำท่านอนกรนถามว่า อะไร ตอบว่านอนเป่าดั้ง ฟังๆ ดูแล้วคิดว่าถ้าอยู่สักสองเดือนเป็นพูดภาษาไทยโบราณปร๋อ"..... การเดินทางไปเยือนแคว้นอัสสัมของคุณ"สารนาถ"ในครั้งนั้น ได้สืบทอดเรื่องราวในคัมภีร์ ของชนชาติไทยโบราณเอาไว้ด้วย คุณ"สารนาถ"เล่าว่า ไทยอาหมสามารถรักษาประวัติ และตำนานของชาติไว้ได้ ก็เพราะเขามีบุคคลประเภทหนึ่ง หรือชั้นหนึ่ง ทำหน้าที่คล้าย พราหมณ์ คือ เป็นผู้ประกอบพิธีกรรมต่างๆ ให้แก่ชาวบ้านชาวเมือง พร้อมกันนั้นก็ ทำหน้าที่ เป็นผู้จารึก และทำตำนานของชาติด้วย บุคคลประเภทนี้เรียกว่า "เทวไท" หรือ "เทพไท" ซึ่งยังมีเหลืออยู่ จนกระทั่งทุกวันนี้ ข้าพเจ้า(สารนาถ)ได้พบ และได้สนทนากับเขาที่วัด ดิซ้างปาณี ในเมือสิพสาคร ภาษาที่ใช้สนทนา คือ ภาษาไทยนั้นเอง เทพไทยพูดภาษาไทย และรักษาภาษาไทยไว้อย่างแข็งแรง และได้นำคัมภีร์ ซึ่งจดตำนาน ชาติไทยมาให้ดู ตำานของชาติไทยอย่างนี้เรียกว่า "บุราณจี" จารึกไว้ด้วยอักษรของชาติไทย อาหม ข้อที่น่าสังเกตก็คือ คัมภีร์ของเทพไทย มีลักษณะอย่างเดียวกับคัมภีร์ใบลาน ที่ใช้อยู่ในวัดของเรา แสดงว่า ได้แบบอย่างมาแห่งเดียวกัน เทพไทได้อ่านคัมภีร์ตำนานชาติไทยให้ฟัง เสียงคล้ายพี่น้องชาวเชียงใหม่ของเรา ทำให้ขนลุก ซ่าเป็นพักๆ เมื่อคิดถึงว่า เลือดไทยของเรานี้ เป็นเลือดนักต่อสู้ ผจนภัยแท้ๆ คิดไปตาย ดาบหน้ากันเสมอ การได้พบปะพี่น้องไทยอาหมเช่นนี้ ยิ่งทำให้เกิดกำลังใจว่า ชาติไทย ก็เป็นชาติที่มีประวัติศาสตร์ และความเจริญไม่แพ้ชาติอื่นใด และเป็นชาติใหญ่ที่สุดในภาค เอเชียอาคเณย์นี้ด้วย ข้าพเจ้า(สารนาถ) อ่านบุราณจีด้วยความสนใจ และด้วยความซาบซึ้งใจอย่างที่สุด บุราณจี ทำให้ข้าพเจ้าตระหนักชัด ในความชาญฉลาด และเห็นการณ์ไกล ของชนชั้นผู้นำของเรา ในสมัยโบราณโน้นเขาปลุกใจให้ "ไต"ทุกคน สำนึกในความสำคัญของเชื้อชาติไต ซึ่งไม่ใช่ ธรรมดา แต่สืบสายเลือดมาจากฟ้า จากสวรรค์อันสูงศักดิ์และยิ่งใหญ่ ยิ่งกว่านั้น ตำนาน ของชาติไทย ยังสืบเนื่องไปจนถึงก่อนสมัยสร้างโลก พวกไตเป็นผู้รู้แจ้งในสภาพของโลกนี้ ไม่มีใครเทียมเท่าได้ น้อยชาตินักที่จะมีประวัติอันกว้างขวาง และเก่าแก่อย่าง ประวัติ ชนชาติไทย บุราณจีของไทยอาหมมี 2 ภาค ภาคแรกเรียกว่า เดโอบุราณจี หรือ เทพบุราณจี เป็นเรื่องราว ตั้งแต่ยังไม่ได้สร้างโลก ตลอดมาจนถึงสร้างโลก เรื่อยมาจนถึงปฐมบุรุษของไทย เสด็จลงมาจากสวรรค์ และก่อตั้งชาติไทยขึ้นในปฐพี ภาคหลังเรียกว่า ดินบุราณจี(ดิน คือ แผ่นดิน) เป็นเรื่องตั้งแต่ชาติไทยขยายตัวไปตามที่ ต่างๆ จนเข้ามาอยู่ในเมืองถ้วนสวนคำ เป็นใหญ่เป็นโตขึ้นมาได้อย่างไร และจนกระทั่งเสียอำนาจ แก่อังกฤษอย่างไร ข้อที่น่าทึ่งมากอย่างหนึ่งก็คือ เรื่องน้ำท่วมโลก บุราณจีได้พรรณาไว้ว่า ครั้งหนึ่งดวงตะวัน ส่องแสงกล้า เผาน้ำบนผิวโลกเหือดแห้งหมด มนุษย์และสัตว์ จึงล้มตายด้วยความกระหาย กันระเนระนาด ความร้อนทวีมากขึ้น จนกระทั่งพื้นโลกแตกออก และน้ำพุ่งขึ้นมาท่วมโลก บรรดาสิ่งมีชีวิตถูกทำลายหมดสิ้น เหลือแต่ผู้เฒ่าคนหนึ่ง ชื่อ ท้าวลิปลิงกับวัวอีกตัวหนึ่ง ซึ่งอาศัยเรือหินเอาตัวรอดไปได้ กระแสน้ำสูงขึ้นทุกที จนกระทั่งเรือหินลอยไปติดยอดเขาชื่อ อีป่า ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ผู้เฒ่ากับวัวติดอยู่บนยอดเขาจนกระทั่งน้ำลด กลิ่นซากศพและสัตว์ เห็นขึ้นไปจนถึงสรวงสวรรค์ พวกเทวดาทนไม่ได้ จึงส่งไฟสวรรค์ลงมา ทำลายซากศพเหล่านั้น ผู้เฒ่าทนความร้อนไม่ได้ จำต้องฆ่าวัว แล้วเข้าไปซุกอยู่ในท้องวัว รอจรกระทั่งความร้อนผ่านไปแล้วจึงออกมา ระหว่างนอนอยู่ในท้องวัว ท้าวลิปลิงพบเมล็ด ฟักทอง จึงเก็บมาเพาะปลูก ครับ นี่เป็นเรื่องราวเพียงบางส่วน ที่ชาวไทยอาหม ได้จดบันทึก และบอกเล่าสืบต่อกันมา หลายชั่วอายุคนแล้ว และเป็นเพียงบางส่วนในบันทึกของ"สารนาถ" นักหนังสือพิมพ์อาวุโส ที่ได้บันทึกไว้ คนไทยสยามวันนี้ หากเลิกนึกถึงตนเอง กลุ่มตนเองในวงแคบๆ เสียบ้างก็ดี เรายังมีสายเลือดไทยอีกมากมาย กระจายอยู่ไม่ใกล้ ไม่ไกล แต่เสมือนถูกตัดญาติ ขาดมิตร เสียแล้ว (HOME) (บ.ก.ธรรมดา) (พุทธศาสนาเชิงประวัติศาสตร์)
|