บันทึกมหาวิกฤตเศรษฐกิจเมืองไทย (3) มหาวิกฤตลุกลาม วิกฤตเศรษฐกิจหาได้เกิดขึ้นแล้วจำกัดขอบเขต อยู่แต่ในประเทศไม่เท่านั้น ยังส่งกระทบ ออกไปยังบรรดาประเทศเพื่อนบ้านด้วย และท้ายที่สุดแม้แต่ตลาดหุ้นนิวยอร์ค ยังมิอาจ หลีกเลี่ยงพ้น ตลาดหุ้นนิวยอร์คตกต่ำผิดหูผิดตา จนหลายคนเกรงว่าจะเกิดวิกฤตการณ์ คล้ายกับ "แบล็คมันเดย์" ในอดีต ที่เคยเขย่ขวัญนักเลงหุ้นทั่วโลกมาแล้ว ต่างชาติเรียกวิกฤตการณ์ทางการเงินรอบใหม่ว่า "TOM YUM GUNG CRISIS" ซึ่ง ก็คือ "วิกฤตต้มยำกุ้ง"ซึ่งหมายถึง ประเทศไทยนั่นเอง สาเหตุที่ทำให้มีผลกระทบทางลบไปทั่ว เนื่องจากโลกในทศวรรษเลิกสงครามเย็น เกิดการไหลบ่าของเงินทุน จากประเทศหนึ่งสู่ประเทศหนึ่ง และการเข้า-ออกของเงินในไทย เป็นไปค่อนข้างเสรี เมื่อวันหนึ่งเขามีความเชื่อมั่น เงินทุนเหล่านั้นก็ไหลบ่า ตลาดการเงินไทย จนท่วมท้น แล้วเมื่อวันหนึ่งเขาขาดความน่าเชื่อถือ เงินทุนเหล่านั้นก็พร้อมกันไหลทะลักออก ขณะเดียวกันมีข้อเท็จจริงว่า การลงทุนต่างๆที่เกิดขึ้นในประเทศก่อนหน้า เป็นการลงทุน ที่อาศัยเงินทุนจากต่างประเทศเป็นสำคัญ เมื่อแหล่งเงินทุนไม่สนับสนุนอีกต่อไป แถมยังไล่ เก็บเงินตามสัญญาเดิม ส่งผลให้โครงการต่างๆในประเทศชะงักงัน แหล่งเงินในประเทศก็มีปัญหา ถึงขั้นต้องสังปิดเป็นแถว เงินนอกที่เคยให้ใช้ ก็งด เมื่อเป็น เช่นนี้ ธุรกิจในประเทศส่วนใหญ่จึงใกล้จุดอวสานเข้าไปทุกที ท่ามกลางมหาวิกฤตดังกล่าว รัฐบาลพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ จึงถูกเรียกร้องจากนักการเมือง ฝ่ายค้าน นักธุรกิจบางกลุ่ม นักวิชาการ นิสิตนักศึกษา และสื่อสิ่งพิมพ์ ให้แสดงความ รับผิด ชอบ ต่อสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นระหว่าง การบริหารงานของรัฐบาล สิ่งที่รัฐบาลได้ตัดสินใจลงไปในระหว่างการเป็นรัฐบาลนั่นก็คือ ได้มีการปรับเปลี่ยนรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงการคลังถึง 3 คน ได้มีการปรับปรุงคณะรัฐมนตรีมากถึง 4 ครั้ง ทางด้าน พรรคฝ่ายค้านนำโดย นายชวน หลีกภัยผู้นำฝ่ายค้าน ได้ยื่นญัตติเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธประมุขฝ่ายบริหาร และต่อมาได้เปิดอภิปรายกัน เป็นเวลา 3 วัน 3 คืน คือ ระหว่างวันที่ 24-26 กันยายน 2540 แต่ผลการลงคะแนนเสียง พรรคการเมืองฝ่ายค้ายยังแพ้ฝ่ายรัฐบาลอยู่ดี เพราะเสียงของสองฝ่ายในสภาห่างกัน มากนั่นเอง หากกล่าวเพียงว่า ต้มยำกุ้งไครสิส ก่อให้เกิดวิกฤตทางการเงินทั่วโลก ก็ไม่ถูกต้องแม้แต่น้อย เพราะว่าความจริงแล้ว ภาวะเศรษฐกิจในบางภูมิภาคของโลก ก็อยู่ในระดับวิกฤต หรือ อยู่ระหว่างปรับตัวอยู่แล้ว กล่าวคือ ในปี 2535 ญี่ปุ่นประสบปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจอย่างรุนแรง และโลกจึงได้รู้จักคำว่า "ฟองสบู่แตก" จากเหตุเกิดในประเทศญี่ปุ่น ต่อมาเกิด วิกฤต การณ์ทางการเงินที่ประเทศเม็กซิโก "เตกิลา ไครสิส" และมาถึงไทยในเวลาอีก 2 ปีต่อมา ก่อนที่จุลุกลามไปถึง อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ มาเลเซีย และสิงคโปร์ ความสำคัญของประเทศไทยในวิกฤตการณ์เงินโลกครั้งนี้อยู่ที่ ไทยกลายเป็นพยานยืนยันว่า เศรษฐกิจภูมิภาคเอเซีย มิได้มหัศจรรย์อย่างที่เชื่อกันทั่งโลก ตามที่เชื่อกันก่อน หน้านี้แม้แต่น้อย นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อและคาดหวังว่า ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะเป็นแหล่ง รองรับการผลิตและการบริโภคแหล่งใหม่ ชดเชยกับตลาดเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่ได้ซบเซาลงไป ความจริงข้อนี้เห็นได้จาก ได้มีการเคลื่อนเข้ามาของบริษัททุนข้ามชาติอย่างมากมาย ในประเทศเหล่านี้ สหรัฐอเมริกา ได้เคลื่อนทุนเข้ามาในภูมิภาคเอเชียอย่างชัดเจน ได้สลัดทิ้งอุตสาหกรรม การผลิตดั้งเดิม ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมยานยนต์ หรืออุตสาหกรรมหนักอื่นๆ หรือ แม้กระทั่ง อุตสาหกรรมใหม่อย่าง อุตสาหกรรมการผลิต และประกอบชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ ซอฟ์ทแวร์ คอมพิวเตอร์ก็ตามที ยุโรปก็มีการเคลื่อนไหวทุนสู่ภูมิภาคเอเชีย และเอเชียตะวันออก เฉียงใต้เช่นกัน ความจริงแล้วใช่ว่าความวิบัติที่เกิดขึ้น ณ กลางปี 2540 นั้นจะไม่มีอะไรเป็นเครื่องบอกเหตุ ข้อเท็จจริงพบว่ามี แต่ไม่มีใครเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้ในแผ่นดินนี้ ญี่ปุ่นฟองสบู่แตก คนไทยก็ไม่รู้สึก วิกฤตการณ์เกิดขึ้นในประเทศเม็กซิโก คนไทยก็ยังไม่เชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้ในประเทศนี้ รัฐบาลพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ก็ยังมองสถานการณ์ไม่เลวร้าย เห็นได้จาก แทนที่จะลดเป้า หมายการเติบโตทางเศรษฐกิจ กลับตั้งเป้าให้เศรษฐกิจขยายตัว 1-1.5 % ซึ่งสวนกับสิ่ง ที่กำลังเผชิญหน้าอยู่ ณ เวลานั้น ทั้งนี้เพราะการตั้งเป้าให้เศรษฐกิจขยายตัว ทำให้รัฐต้อง เพิ่มการลงทุนภาครัฐเข้าไป และส่งสัญญาที่ไม่ถูกต้องให้กับภาคเอกชนไปในตัวด้วย ในทางตรงกันข้าม หากรัฐบาลตัดสินใจ ลดการเติบโตทางเศรษฐกิจ ย่อมเป็นการส่งสัญญาน ที่ถูกต้องและชัดเจนให้กับประชาชน สมัยรัฐบาลพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี ผู้นำได้ประกาศชัดว่า รัฐจะดำเนิน นโยบายอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเป็น "ศูนย์" ดังที่เรียกทับศัพท์ว่า "ซีโร โกรธ" เพราะต้องการจำกัดการใช้จ่ายเงินทั้งภาครัฐและเอกชน นอกจากการดำเนิน นโยบาย ดังกล่าวแล้ว ยังออกมาตรการทางการเงิน(ที่เจ็บปวด)ติดตามมาด้วย นั่นก็คือ มาตรการ จำกัดสินเชื่อ 18 % นั่นเอง (HOME) (บ.ก.ธรรมดา) (คิดถึงไทยอาหม) (พุทธศาสนาเชิงประวัติศาสตร์) (NEXT)
|