บันทึกมหาวิกฤตเศรษฐกิจเมืองไทย (1) ข่าวร้ายรุ่งอรุณ 2 กรกฎาคม 2540, ก่อนฟ้าจะสาง บรรดากรรมการผู้จัดการ และพนักงานฝ่าย ค้าเงินตรา ต่างประเทศของธนาคารพาณิชย์ ทั้งไทยและต่างชาติ ถูกปลุกให้ตื่น แม้จะอ่อนเพลียมาหลายวัน ก็ต้องทน เพราะเสียงเรียกปลายสาย มาจากวังบางขุนพรหม คนเหล่านี้ถูกปลุกให้ตื่น เพื่อให้ไป ร่วมฟังแถลงข่าวใหญ่ ณ ที่ทำการ ธนาคารแห่งประเทศไทย ย่านบางขุนพรหมในเวลา 6 นาฬิกา นายเริงชัย มะระกานนท์ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย มีสีหน้าอิดโรย เพราะตลอดระยะ เวลาร่วมสองเดือนเต็มๆ ต้องกรำศึกปกป้องการโจมตีค่าเงินบาท จากบรรดากองทุนต่างประเทศ และก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน ได้สาระวนอยู่กับการควบคุมสถานการณ์ ไม่ให้สถาบันการล้มลงไปอีก หลังจากสั่งปิดกิจการไฟแนนซ์ไปแล้วถึง 16 แห่ง และเช้าวันนี้ เขาได้อยู่ต่อหน้า นักบริหารการ เงินภาคเอกชนเพื่อประกาศข่าวสำคัญ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นผู้อ่านประกาศของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายทนง พิทยะด้วยตนเอง.....".อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 8 วรรคสาม แห่งพระราช บัญญัติเงินตรา พ.ศ.2501 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติเงอนตรา(ฉบับที่ 4)พ.ศ.2516 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดยคำแนะนำของธนาคารแห่งประเทศไทย ออกประกาศ ดังต่อไปนี้ ข้อหนึ่ง ให้ยกเลิกประกาศกระทรวงการคลัง เรื่องการปรับปรุงระบบการแลกเปลี่ยนเงินตรา ประกาศ ณ วันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2527 ข้อสองระบบการแลกเปลี่ยนเงินตรา ให้ใช้ค่าเงิน บาทที่เปลี่ยนแปลงไปตามภาวะตลาดเงินตราต่างประเทศ ข้อสามให้ธนาคารแห่งประเทศไทย ดำเนินการซื้อขายเงินตราต่างประเทศ เพื่อรักษาเสถียรภาพของค่าเงินบาท ตามระบบที่กล่าว ในข้อ 2 ข้อสี่ให้ธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาท กับเงินตรา ต่างประเทศ เพื่อใช้เป็นอัตราอ้างอิงในการเทียบค่าเงินตราต่างประเทศเป็นเงินบาท เป็นครั้ง คราวตามความจำเป็น ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2540 เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2540 "........... หนังสือดังกล่าวลงนามโดย นายทนง พิทยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ผู้มีอดีตเป็นอาจารย์ สอนหนังสือในสถาบันอุดมศึกษาชั้นสูง ก่อนจะมาเป็นนักบริหารการเงินในธนาคารของรัฐ และ ก้าวขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวการคลังในสมัยรัฐบาลพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรี คำประกาศดังกล่าวแม้จะอยู่ในห้องหับ บริเวณบางขุนพรหม แต่เข้าไปถึงหูของ นายจอร์จ โซรอส เทพเจ้านักค้าเงินตราที่อยู่สหรัฐอเมริกา ประกาศได้แพร่สะพัดออกไปอย่างรวดเร็ว และเป็น "ข่าวช๊อค-ยามเช้า" ทั้งๆที่ อาจจะประเมิน กันได้ตั้งแต่ต้นแล้วว่า มีความเป็นไปได้อยู่บ้างที่จะออกมาในรูปนี้ อาการขวัญสยองย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ สำหรับผู้มีภาระหนี้กับต่างประเทศ เพราะมาประกาศ เปลี่ยนระบบอัตราแลกเปลี่ยน จากระบบตะกร้าเงินเป็นระบบ "เงินบาทลอยตัว" ในช่วงเศรษฐกิจ ตกต่ำเช่นนี้ ผลของการเปลี่ยนระบบย่อมทำให้ค่าเงินบาท ลื่นไถลลงต่ำได้ทันที โดยไม่ต้องประกาศลดค่าเงินบาทเหมือนสมัยก่อน ความจริงก่อนหน้านี้ก็พูดกันหนาหูว่า รัฐบาลจะลดค่าเงินบาท แต่หลายคนก็เบาใจ เมื่อได้ชมสถานีโทรทัศน์ ถ่ายทอดคำชี้แจงจากพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรี ......"รัฐบาลจะไม่ลดค่าเงินบาทอย่างแน่นอน"...... พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรี กล่าวเอาไว้ และคำประกาศดังกล่าว มีขึ้นก่อนผู้ว่าการแบงก์ชาติจะประกาศ เปลี่ยนระบบ อัตราแลกเปลี่ยน เพียง 3 วันเท่านั้น เช้าของวันนี้ คำพูดของนายกรัฐมนตรี ก็ไม่มีความหมายเสียแล้ว เพราะฝ่ายปฏิบัติ ได้ดำเนินการเป็นไปในทางตรงกันข้าม พอสิ้นกระแสความแถลงข่าวของนายเริงชัย มะระกานนท์ กระทรวงการคลังออกแถลงชี้แจง ประชาชนบ้าง ......."หนึ่งนับตั้งแต่ได้มีการใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบันมาตั้งแต่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2527 โดยกำหนดค่าเงินบาทเทียบกับกลุ่มสกุลเงินของประเทศคู่ค้าสหรัฐ โดยทุนรักษาระดับ อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา เป็นผู้ประกาศอัตรากลางระหว่างเงินบาทกับเงินดอลลาร์สหรัฐ และทำการซื้อขายดอลลาร์สหรัฐ กับธนาคารพาณิชย์ตามอัตราที่กำหนดนั้น ระบบดังกล่าว ทำให้เงินบาทเป็นสกุลเงินที่มีเสถียรภาพมากที่สุดสกุลหนึ่งในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งช่วยเอื้อ อำนวยให้การค้าและการลงทุนขยายตัวอย่างรวดเร็ว และส่งผลให้เศรษฐกิจไทยมีอัตรา การเติบโตในเกณฑ์สูง สองอย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ปี พ.ศ.2538 เป็นต้นมา เศรษฐกิจไทยเริ่มมีปัญหา ด้านเสถียรภาพ อัตราเงินเฟ้อและการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดเพิ่มสูงขึ้น ทางการจึงได้ดำเนินนโยบาย การเงิน การคลังอย่างระมัดระวัง เพื่อชะลอการใช้จ่ายของระบบเศรษฐกิจ ภายใต้กรอบของการรักษา เสถียรภาพของค่าเงินบาท แนวนโยบายดังกล่าว มีผลให้เสถียรภาพทางเศรษฐกิจของ ประเทศ ทั้งอัตราเงินเฟ้อ และการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดปรับตัวดีขึ้น แต่มาตครการดังกล่าว รวมทั้งภาวะการส่งออกที่ตกต่ำ และเงินทุนนำเข้าที่ชะลอลง ทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว ค่อนข้างมาก ในด้านการเงินนั้น อัตราดอกเบี้ยในประเทศยืนอยู่ในระดับสูง ประกอบกับระบบสถาบันการเงิน ประสบปัญหาหนี้เสีย และต้นทุนทางการเงินสูงขึ้น ทำให้เกิดข้อจำกัดในการขยายตัว ของสินเชื่อ และการประกอบธุรกิจของภาคเอกชน สถานการณ์ดังกล่าวทำให้มีการเรียก ร้องกันอย่างกว้างขวาง ให้ผ่อนคลายนโยบายการเงิน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ปัจจัยนี้ทำให้เกิดการเก็งกำไรในค่าเงินบาท จากการคาดคะเนว่า ทางการอาจจะใช้อัตรา แลกเปลี่ยนเป็นเครื่องมือแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ เพื่อให้อัตราดอกเบี้ยในประเทศ สามารถปรับ ตัวลงได้ การเก็งกำไรในค่าเงินบาทเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2540 ซึ่งทางการ ได้เข้าแทรกแซงตลาดเงินตราต่างประเทศ เพื่อรักษาเสถียรภาพของค่าเงินบาท ตามความ จำเป็น การเก็งกำไรรุนแรงขึ้นในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2540 ถึงแม้ทางการจะสามารถ ยุติการเก็งกำไรในต่างประเทศลงได้ แต่ภายในประเทศมีข่าวลือการลดค่าเงินบาท และการวิพากษ์วิจารณ์นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนกันอย่างกว้างขวาง และต่อเนื่อง จนทำให้ธุรกิจเอกชนขาดความเชื่อมั่นต่อค่าเงินบาท สาม จากสถานการณ์และเหตุผลดังกล่าวข้างต้น กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศ ไทย จึงเห็นสมควรปรับปรุงระบบอัตราแลกเปลี่ยน ของประเทศ เพื่อยุติความไม่แน่นอนที่เกิด จากการขาดความเชื่อมั่นในนโยบาย อัตราแลกเปลี่ยน โดยปรับไปสู่ระบบใหม่ที่จะเป็น ประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว สอดคล้องกับภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจ การเงินของโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ตลอดจนเพื่อรองรับระบบเศรษฐกิจไทยที่มีความ ซับซ้อน และเชื่อมโยงกับต่างประเทศมากขึ้นจากการเปิดเสรีการค้า การลงทุน และการเงิน ดังนั้นตั้งแต่วันที่ 2 กรกฏาคม พ.ศ.2540 เป็นต้นไป ประเทศไทยจะใช้ระบบ อัตราแลกเปลี่ยน แบบลอยตัว ซึ่งค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินตราสกุลต่างๆ จะถูกกำหนดโดย กลไกตลาด ตาม อุปสงค์และอุปทานของตลาเงินตราในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งสามารถ เปลี่ยนแปลงขึ้นลงได้ ตามปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ โดยธนาคารแห่งประเทศไทย จะเข้า ซื้อขายเงินดอลลาร์สหรัฐ ในตลาดตามความจำเป็น เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนโยบายเศรษฐกิจ คราวเดียวกันนี้กระทรวงการคลังได้แถลงเป็นข้อๆ ถึง 6 ข้อ แต่เนื้อหาที่เหลือจะเป็นการ อธิบาย เกี่ยวกับระบบใหม่มากกว่ามีประเด็นเพิ่มเติม ผลจากคำประกาศแบงก์ชาติเมื่อเช้ามืด ทำให้ค่าเงินบาทลดลงไป จากเดิม 25.5 บาทต่อ ดอลลาร์สหรัฐ เป็น 27.25-28.75 บาท ในรอบ 24 ชั่วโมง แต่แทบไม่น่าเชื่อ หลังประกาศ ลอยตัวค่าเงินบาทได้ 26 วัน หรือภายในเดือนเดียวกัน นายเริงชัย มะระกานนท์ ประกาศ ลาออกจากตำแหน่งผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย(28 ก.ค.2540) โดยมีเสียง วิพากษ์ วิจารณ์ไล่หลังว่า "เขาถูกบีบให้ลาออก" (HOME) (บ.ก.ธรรมดา) (คิดถึงไทยอาหม) (สถาบัน น.ส.พ.) (NEXT)
|