![]() |
พุทธศาสนาเชิงประวัติศาสตร์
|
บทที่ 4 ฮินดูอารยัน ศาสนาพุทธแม้จะเก่าแก่ แต่ก็ยังเป็นศาสนาที่เกิดใหม่ หลังจากลัทธิ ศาสนาอื่น อาทิ ฮินดู รุ่งเรื่องและมีอิทธิพลแก่คนอินเดียมาหลายร้อยปี ก็อย่างที่กล่าวมาแล้วในบทต้นๆว่า คนอินเดีย มีรากเหง้า สาแหรกมากจากชาวชาติ อารยัน หรือ ชาวเปอร์เซียดั้งเดิม แล้วชนชาติ เหล่านี้แพร่ขยายมาในพื้นที่อินเดียสองทาง คือ ทางลุ่มแม่น้ำสินธุ กับทางเทือกเขา ฮินดูกูธ (ลุ่มน้ำคงคา) และแม้ พื้นฐานเดิมมาจากชาวอารยันเช่นกัน แต่เมื่อเวลาผ่านไป หลายร้อยปี อินเดียเหลานี้ก็ทำศึกสงครามกัน จนเกิดเรื่องราวในตำนานที่เรียกว่า มหาภารตะ นั่นเอง ชาวอารยัน ได้แพร่ขยายมาทั้งด้านเอเชีย และยุโรป ในส่วนที่เข้ามาสู่อินเดียโบราณเดิม และเป็นเวลานับพันปี ทำให้ประวัติศาสตร์อินเดียแบ่งเป็น 5 ยุค ได้แก่ ยุคไตรเพท ยุคอาถรรพเวท ยุคคัมภีร์พราหมณ์ ยุคอุปนิษัท และยุคพระพุทธศาสนา ยุคไตรเพทก็หมายถึงยุคที่ชาวฮินดูแต่คัมภีร์ไตรเพทขึ้น และคัมภีร์ดังกล่าวมีอิทธิพลต่อชาว อินเดียโบราณเป็นอย่างสูง ยุคนี้เกิดขึ้นก่อนสมัยพุทธกาลประมาณ 1 พันปี คัมภีร์ไตรเพทมี 3 คัมภีร์ด้วยกัน ได้แก่ ฤคเวท เก่าแก่สุด แต่งเป็นคตำฉันท์ เพื่อสวดอ้อนวอน และสรรเสริญ พระผู้เป็นเจ้า อชุรเวท แต่เป็นร้อยแก้ว สำหรับกิจพิธีต่างๆ และใช้ท่องเวลาบวงสวรง สามะเวท แต่เป็นคำฉันท์ที่รวบรวมเห่ต่างๆ สำหรับเห่กล่อมพระผู้เป็นเจ้า ยุคไตรเพทนี้ก็คือ ยุคคัมภีร์พระเวท นั่นเอง ชาวอารยันในยุคแรกนั้น จะนับถือพระเจ้าธรรมชาติหลายพระองค์ด้วยกัน แต่เชื่อกันว่า การทรมานกาย หรือการทำจิตใจให้เศร้าหมอง เพิ่งจะมาทำกันในชั้นหลัง ทั้งนี้ พระเจ้าดั้งเดิม ที่ชาวอาระยันฮินดูนับถือก็คือ พระอินทร์ พระวายุ พระอาทิตย์ พระอัคนี พระวรุณ และพฤหัสบดี ยุคภัมภีร์อาถรรพเวท เป็นยุคศึกสงครามดัง ปรากฎในเรื่อง มหาภารตะ และยุคนี้เกิดราว 300-400 ปี ก่อนพุทธกาล ส่วนยุคที่สามเป็นยุคหลังสงครามมหาภารตะสงบลง และ ก่อให้เกิด ยุคคัมภีร์พราหมณ์ หรือ คัมภีร์ปุราณะติดตามมา ยุคสมัยนี้ ศาสนาได้รับความสนใจ เป็น อย่างมาก มีการปฏิบัต ิพิธีกรรม ต่างๆ พราหมณ์ก็ได้รับความเชื่อถือนับถือจากประชาชนมาก และคัมภีร์ปุรานะได้กล่าวถึง การสร้างโลก การสิ้นสูญและการเกิดของโลก กำเนิดเทพ หรือ พระเจ้าต่างๆ คัมภีร์พระเวทจะกล่าวถึงลัทธิศาสนา ของชาวฮินดูทั่วๆไป การเคารพบูชาทวยเทพ ก็เป็นอย่างเดียวกัน ยังไม่มีการนับถือพระเจ้าแบบแบ่งแยกออกเป็นนิกาย มาในคัมภีร์ปุรานะ ได้แบ่งฮินดูออกเป็นนิกาย และยกเอาพระศิวะเป็นพระเจ้าองค์สูงสุด พระพรหม และพระวิษณุ เสมือนเป็นพระเจ้าองค์รอง อีกนิกายหนึ่งก็ว่า พระวิษณุ เป็นใหญ่ และบอกว่า พระพรหม เกิดจากดอกบัว ที่ผุดจากพระนาภีพระวิษณุ และพระศิวะก็มีกำเนิดจาก พระนลาตพระวิษณุ คัมภีร์ปุราณะมีอยู่ด้วยกัน 18 คัมภีร์ จัดแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ยกย่องพระพรหม กลุ่มยกย่องพระวิษณุ และกลุ่มที่ยกย่องเทวดาหมวดพระศิวะ(เทวดาหมวดพระศิวะ ได้แก่ พระอุมา พระคเณศ และพระขันธกุมาร) นอกจากนี้ยังมีภัมภีร์ชั้นรองลงมาอีก 18 คัมภีร์ เรียกว่า อุปปุราณะ ยุคอุปนิษัท ยุคนี้เกิดขึ้นมาหลังจากบรรดาพราหมณ์รุ่งเรื่อง และพราหมณ์ก่อให้สังคม แบ่งชั้นวรรณะ และการแบ่งชั้นวรรณะทำให้คนยากจน คนวรรณะต่ำ ถูกตราหน้าว่า เกิดมาเพื่อใช้หนี้ เมื่อใช้เวรใช้กรรมหมดสิ้นแล้ว จะเกิดในวรรณสูงในชาติต่อไป แนวคิดนี้ ทำให้เกิดการแสวงหาหนทางให้หลุดพ้น หรือไปให้พ้นจากทุกข์ ก่อให้เกิด การบำเพ็ญทุกข์ กรกริยา คือ การทรมานกายต่างๆ ด้วยเชื่อว่า หากทำเป็นที่พอใจต่อเทพ หรือพระเจ้าแล้ว จะนำพาไปสู่สุขคติได้ ในยุคนี้เกิดศาสนาจารย์ขึ้นหลายคณะ ล้วนแล้วสอนให้พ้นทุกข์ทั้งสิ้น ในปลายยุคได้เกิดลัทธิที่สำคัญเรียกว่า "ศาสนาไชน์"(บางเล่มอ่านว่า "ชินศาสน์") ต้นบัญญัติแห่งศาสนานี้ชื่อว่า วรรธนะมาน ซึ่งทางพุทธศาสนาเรียกว่า "นิครนถ์นาตะบุคร" และสาวกของท่านเรียกท่านว่า "มหาวีระ" ความจริงแล้ว วรรธนะมาน หรือ มหาวีระ เป็นเชื้อสายกษัตริย์เมืองเวสาลี และเกิดก่อนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเล็กน้อย ออกบวชเมื่ออายุ 30 ปี ตรัสรู้เมื่ออายุ 42 ปี และสั่งสอนอยู่จนถึงอายุ 72 ปี จึงนิพพาน หลักปฏิบัติศาสนานี้คล้ายกับศาสนาพราหมณ์ คือ บำเพ็ญตะบะ และทรมารสังขาร อย่างไรก็ดี ศาสนานี้ก็แยกออกเป็น 2 นิกาย คือ นิกายทิฆัมพรกับเศวตัมพร ยุคพุทธศาสนา ในหนังสือประวัติศาสตร์สากลสมัยโบราณซึ่งรวบรวมและเรียบเรียงโดย นายเจริญ ไชยชนะบอกเล่าวว่า ในตอนปลายยุคคัมภีร์พราหมร์นั้น ชาวอารยัน ได้ตั้งบ้านเมือง เป็นปึกแผ่น ในลุ่มแม่น้ำสินธุ และแม่น้ำคงคา ซึ่งเรียกชื่อรวมว่า มัชฌิมประเทศ" แตกก็แยก เป็นประเทศต่างๆ และที่ใหญ่ๆ ได้ 16 ประเทศ อาทิ อังคะ มคธ กาศี โกศล วัชชี มัลละ เป็นต้น และประเทศเล็กๆแต่มีชื่อเสียงก็คือ ประเทศสักกะ ตั้งอยู่บริเวณทิวเขาหิมาลัย มีเมืองหลวงชื่อว่า กบิลพัสดุ์ ซึ่งเป็นเมืองประสูติพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นเอง (HOME) (บ.ก.ธรรมดา) (เมื่ออยากเป็นนักข่าว) (พุทธศาสนาเชิงประวัติศาสตร์) (NEXT)
|