ปีที่ 3 ฉบับที่ 1025 ประจำวันพฤหัสบดีที่ 4 เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2543

สหัสวรรษที่ 3

ถึงเวลาแก้วิกฤตโลกวันนี้ ด้วยเศรษฐศาสตร์แนวพุทธ

ใครจะคิดได้ว่า ธรรมะของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงประกาศธรรมเมื่อกว่า 2500 ปีที่แล้ว จะสามารถยืนยงความทันสมัย นำมาใช้ได้กับปัญหาวิกฤตโลก ปัจจุบันได้ อย่างไม่ล้าสมัย และเหมาะกับเหตุการณ์ปัจจุบัน

ใครจะคิดได้ว่า วิชาเศรษฐศาสตร์อันพันลึกโอฬาร เรียนกันจนระดับปริญญาเอก เขียนตำราเต็มห้องสมุด สุดท้ายก็ไม่พ้นวิชาเศรษฐศาสตร์พื้นฐานของพระพุทธเจ้า ที่ทรงสอนไว้ จนเป็นอภิมหาอมตนิรันดร์กาล

นี่เป็นภาษาสมัยใหม่ของวัยรุ่นเปี๊ยบเลยนะครับ

ผมได้คุยกับนายอัลเฟรโด นักการเงินการธนาคารและนักเศรษฐศาสตร์ระดับโลก ที่อยู่ในแวดวงการเงินแนวหน้าที่เหี้ยมโหดของโลก คุยแล้วเกิดความปลื้มปีติในฐานะที่เป็น ชาวพุทธ เพราะนึกไม่ถึงว่า จะมีนักเศรษฐศาสตร์ในโลกสมัยใหม่ ชื่นชมคำสอนของพระพุทธเจ้าของเรา และยกย่องว่า เป็นวิชาเศรษฐศาสตร์ที่ลึกซึ้งที่สุดง่ายที่สุด

แต่คนสมัยใหม่ทุกวันนี้มองข้ามไป และเห็นว่า เป็นเรื่องล้าสมัย

ทั้งที่ปัญหาของโลกทุกยุคสมัยก็ซ้ำ ๆ กัน วนเวียนเปลี่ยนไปกี่รอบ ก็เหมือนกับปัญหาเก่า วิธีการแก้แบบเก่า ๆ เพราะเกิดจากมนุษย์เหมือนกัน วิธีคิดเหมือนกัน อารมณ์เหมือนกัน กิเลสก็เหมือนกัน แล้วมันจะต่างกันตรงไหน ยกเว้นกาลเวลาและรูปแบบปัญหาเท่านั้น

นายอัลเฟรโดเสนอแนะว่า ถึงเวลาที่ผู้นำของโลก และนักเศรษฐกิจยุคใหม่ชั้นนำของโลก ที่จะมานั่งประชุมกัน เพื่อยุติปัญหาโลกแตก ที่ทำให้เกิดความระส่ำระสายต่อโลกมนุษย์ การทำลายสิ่งแวดล้อม การเผชิญหน้าด้วยความรุนแรง การเอาเปรียบทางเศรษฐกิจการเงินการค้า

แต่ที่สำคัญต้องให้บทบาทของผู้นำทางศาสนา และผู้นำจิตศรัทธาชั้นนำ เข้าร่วมประชุมด้วย และถ้าจัดให้ยิ่งใหญ่ในระดับสหประชาชาติ เป็นมติของที่ประชุมใหญ่ ถ้าเมื่อไรที่ถึงวันนั้น นั่นคืออรุณรุ่งที่แท้แห่งสันติสุขของโลก

การประชุมระหว่างผู้นำแห่งโลกกับผู้นำแห่งโลกแห่งจิตศรัทธา ผู้นำศาสนา โดยไม่คำนึงศาสนา ความเชื่อ และจิตศรัทธา การประชุมที่ให้ความเคารพในสิทธิที่เท่าเทียมกัน ไม่แบ่งแยกความคิดเห็นกัน แสวงจุดร่วมกันในการสร้างสันติสุขของโลก

ซึ่งนายอัลเฟรโดเห็นว่า จะเกิดขึ้นได้ก็จะต้องเกิดจากจิตภายในผู้นำเท่านั้น ซึ่งเป็นความคิดที่ตรงกับท่านลามะกังเซนแห่งอิตาลี ที่เดินทางรอบโลก ใช้เวลานานกว่า 6 ปี เพื่อขยายความคิดเรื่องสันติสุขภายในเท่านั้น ที่จะสร้างสันติสุขภายนอกให้กับโลกได้

และทันทีที่นายอัลเฟรโดได้เห็นแนวความคิดของมูลนิธิธรรมกาย เรื่อง World Peace Thru Inner Peace ได้รับฟังจากท่านลามะกังเซน แขกพิเศษของหลวงพ่อธัมมชโย ให้มา ร่วมงานมาฆบูชาบารมี จึงเกิดความสนใจและมาสังเกตการณ์อย่างเงียบ ๆ

และภาพอันยิ่งใหญ่ ความสงบเงียบที่กระจายไปทั่วบริเวณสภาธรรมกาย ภาพของคนนั่งสมาธิเป็นแสนๆ คน ทำให้นักเศรษฐศาสตร์ระดับโลกนี้ เกิดความปิติและเปลี่ยนชุด จาก นายแบงก์ระดับโลก ห่มชุดขาวเข้าร่วมนั่งสมาธิด้วยความปีติท่ามกลางแสงเทียนนับแสน

ด้วยเหตุนี้ ในวันคุ้มครองโลกที่ผ่านมา นายอัลเฟรโดจึงรับเชิญอีกครั้ง คราวนี้ ด้วยความเต็มใจอย่างยิ่ง และเตรียมปาฐกถามาอย่างดี สำหรับกล่าวกลางมหาชนครึ่งล้าน ในพิธี ตอนค่ำ ซึ่งได้รับเสียงปรบมืออย่างกึกก้อง เมื่อแปลเป็นภาษาไทยงดงาม

แต่วันรุ่งขึ้น ในที่ประชุมชาวพุทธสากล ท่ามกลางชาวพุทธหลายสิบประเทศ นายอัลเฟรโดก็ได้กล่าวถึงข้อเสนอแนะ ให้มีการจัดประชุมระดับโลกของทุกศาสนา โดยมีต้นแบบ ที่มูลนิธิธรรมกาย ดำเนินการอยู่เป็นจุดประกาย

เขากล่าวด้วยความชื่นชมว่า เขาได้เดินทางไปทั่วโลก ได้ร่วมสัมมนาระดับโลกมามากมาย แต่ไม่เคยมีครั้งใดมาก่อน ที่เขาได้เห็นคำว่า "สันติภาพ" ได้มีการพูด และปฏิบัติไป พร้อมกัน อย่างยิ่งใหญ่ที่สุด เท่าที่เขาเคยประชุมมา

เพราะทุกครั้งที่จะมีนักปาฐกถาระดับโลกที่พูดเรื่องสันติภาพอย่างงดงามไพเราะ แต่มิได้มีการปฏิบัติแม้แต่น้อย และจบการประชุม ทุกคนก็ลืม

แต่ภาพที่เขาเห็นจากงานมหาสมาคมวันคุ้มครองโลก ที่มูลนิธิธรรมกายจัดขึ้น เขาเห็นคนหลายแสนคนฟังธรรมและการสร้างสันติภาพโลก การแผ่เมตตาให้กับผู้อื่นที่มิได้มาร่วม แผ่จิตอันสงบไปให้กับคนทั้งประเทศคนทั้งโลก เป็นเวลายาวนาน มีทั้งช่วงเช้า ช่วงบ่ายและช่วงเย็น

เขาอยากเห็นสิ่งนี้เกิดขึ้นทั่วโลกกับทุกศาสนา ทุกความเชื่อศรัทธา และอยากให้เกิดร่วมกันพร้อมกัน โดยไม่แบ่งแยกกัน ถ้าทั้งโลกทำได้อย่างนี้ โลกจะพลิกผันสู่มิติใหม่แห่ง ความสุขสงบที่แท้จริง สันติสุขที่เกิดจากการปฏิบัติ มิใช่จากการพูดเสวนาเท่านั้น

เขาจึงอยากตั้งข้อเสนอ 3 ประการต่อที่ประชุมผู้นำโลกและผู้นำศาสนา ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งเขาอยากให้เกิดขึ้น และแสวงหาผู้ที่จะเป็นผู้จุดประกายให้เกิดขึ้นมานาน

ประการที่หนึ่ง ก็คือการเปลี่ยนกรอบความคิดของผู้นำของโลก ว่า สันติสุขจะเกิดได้จากภายในเท่านั้น

ประการที่สอง การมองวิกฤติเศรษฐกิจของโลก จะต้องมองจากทั้งสองมุม ทั้งจากมุมของโลกแห่งวัตถุ และมุมมองโลกแห่งจิตวิญญาณพร้อมไปด้วยกัน และเขาเห็นว่า มุมนี้พุทธ ศาสนา จะได้เปรียบและมีบทบาทที่มีคุณค่าอย่างที่สุด เมื่อเทียบกับทุกศาสนา

และประการสุดท้ายที่ประชุมจะต้องใช้ความรู้อันกว้างขวางลึกซึ้งของพุทธศาสนา ซึ่งน่าจะเรียกว่า เศรษฐศาสตร์เชิงพุทธอันน่ามหัศจรรย์ มาใช้ประยุกต์ในโลกปัจจุบัน การ ผสมผสาน กลมกลืนระหว่างสองโลกได้อย่างงดงาม และให้ความคิดใหม่ที่น่าทึ่งที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้จากพระภิกษุสงฆ์ที่ศึกษาลึกซึ้งในพระพุทธศาสนา

ผมฟังแล้วปลื้มที่มีคนเห็นคุณค่าของคำสอนของพระพุทธเจ้ายิ่งกว่าพวกเรา และน่าเสียดายแม้คนไทยหลายคนที่ถือว่า เป็นเลิศในพุทธศาสนาหลายคนกลับมองไม่เห็น

สิงห์ขาว


[หน้าหลัก][หน้า1][สหัสวรรษ][วิวาทะ]

1