ปีที่ 3 ฉบับที่ 1025 ประจำวันพฤหัสบดีที่ 4 เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2543 |
วิระศักดิ์โวย รัฐทำลักลั่น ดองนิตยภัต
ศึกษาธิการจังหวัดปทุมฯ เบิกความศาล ระบุกฎหมายสงฆ์ให้อำนาจคณะสงฆ์ปกครองเอง ไม่เกี่ยวงานราชการ ส่วนศึกษาธิการจังหวัดเป็นเพียงผู้แทนกรมศาสนา
มีหน้าที่ สนองงาน ของคณะสงฆ์ ในเขตจังหวัดเท่านั้น ด้าน "วิระศักดิ์" โวยรัฐทำลักลั่น เลือกปฏิบัติ จ้องแต่จับผิดวัดพระธรรมกาย ระบุพระธัมมชโยถูกดองค่านิตยภัตมาตั้งแต่ ปี 2539 แต่กรมศาสนากลับเงียบกริบ ไม่ยอมชี้แจงเหตุผล เผยที่ผ่านมา มีพระอดีตเจ้าคณะตำบลเคยทวงถาม แต่กลับมีปัญหา ย้ำเงินทำบุญวัดพระธรรมกาย
มีทั้งให้วัดและถวาย พระธัมมชโยส่วนตัว ด้านมหาดไทยอนุมัติหมายเรียกตัวพระธัมมชโย ในคดียักยอกทรัพย์
วันที่ 3 พ.ค.2543 เวลา 08.30 น. ที่ห้องพิจารณาคดีที 704 ชั้น 1 ศาลอาญา ถ.รัชดา กรุงเทพฯ พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (พระธัมมชโย) และนายถาวร พรหมถาวร
ได้เดินทางเข้า รับฟัง
การเบิกความพยานโจทย์ คดีความผิดต่อเจ้าหน้าที่ราชการโดยมีนายทวีป หงษ์โสภา ศึกษาธิการจังหวัดปทุมธานี ขึ้นเบิกความเป็นพยานโจทก์
ท่ามกลางผู้สนใจเข้ารับฟัง
การ เบิกความ
ทั้งพระภิกษุและประชาชนทั่วไป ประมาณ 250 คน
ผู้พิพากษาขึ้นนั่งบัลลังก์ศาลเวลา 09.10 น. นายทวีปได้กล่าวให้การเบิกความถึง อำนาจหน้าที่ทางราชการซึ่งมีหน้าที่บริหารการศึกษา ทั้งด้านการศาสนาและวัฒนธรรม
ในส่วน ของการปกครองสงฆ์นั้น ตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ได้ให้อำนาจการปกครองคณะสงฆ์ ให้สงฆ์ปกครอง ซึ่งไม่เกี่ยวกับงานราชการ และโดยตำแหน่งหน้าที่ของศึกษาธิการจังหวัด ได้ระบุให้เป็นผู้แทนของกรมการศาสนา มีหน้าที่สนองงานของคณะสงฆ์ในเขตจังหวัดเท่านั้น หากมีพระบัญชาหรือพระลิขิตมา ก็จะส่งมาทางสายการปกครองของคณะสงฆ์ไทย ไม่ต้องผ่านมาทางศึกษาธิการจังหวัด นอกจากนี้ยังได้ให้การเบิกความถึงระเบียบราชการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานของพระสังฆาธิการในเขตจังหวัด จนถึงเวลา 09.50 น.
ทนายความ ฝ่ายโจทก์ จึงขึ้นซักค้านในประเด็นที่เกี่ยวกับระเบียบปฏิบัติของงานราชการ ส่วนศึกษาธิการจังหวัดกับงานของพระสังฆาธิการ
ตั้งแต่ระดับเจ้าอาวาสจนถึง
เจ้าคณะจังหวัด หลังจากทนายความได้ใช้เวลาซักค้านเป็นเวลาประมาณ 45 นาทีจบแล้ว ศาลจึงได้อ่านบันทึกคำให้การเบิกความของพยานโจทก์
แล้วอ่านคำสั่งศาล
ให้มีการพิจารณาเบิกความพยานโจทก์ครั้งต่อไปในวันที่ 10 พ.ค.2543
นายวิระศักดิ์ ฮาดดา หัวหน้าสำนักงานมูลนิธิพระธรรมกาย ได้กล่าวตอบถึงปัญหากรณีเงินนิตยภัตหรือเงินเดือนของพระธัมมชโยว่า โดยชั้นสมณศักดิ์แล้ว
พระธัมมชโยได้รับ
พระราชทานในชั้นราช ซึ่งจะมีเงินช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในศาสนกิจส่วนตัว จากกรมการศาสนา หรือที่เรียกว่า เงินนิตยภัตเดือนละ 4000 บาท หรือจะเรียกว่า เงินเดือนก็ได้
ซึ่ง พระธัมมชโย ยังคงไม่ได้รับมาตั้งแต่ ปี 2539 โดยกรมการศาสนาก็ไม่ได้แจ้งให้ทราบว่า เป็นเพราะเหตุใด ถึงไม่จ่าย นอกจากนี้
ยังมีเงินสนับสนุนจากงบประมาณแผ่นดิน
ที่ผ่านมา ทางกรมการศาสนา เพื่อจ่ายให้กับวัดที่มีโรงเรียนพระปริยัติธรรมอีกปีละ ประมาณ 1 แสนบาท ซ่งทางวัดก็ยังคงไม่ได้รับอีกเช่นกัน ซึ่งเงินทั้งสองส่วนนี้ พระสังฆาธิการวัดต่าง ๆ จะไม่กล้าทวงถามเข้าไป เพราะเรื่องเคยเกิดปัญหากระทบต่อเจ้าคณะตำบลรูปหนึ่งมาแล้ว
ต่อคำถามถึงเรื่องเงินรายได้ จากการเก็บผลประโยชน์ของวัดพระธรรมกาย และหนังสือเอกสารสิทธิ์หรือโฉนดที่ดิน ของวัดพระธรรมกาย ซึ่งตามระเบียบแล้ว
จะต้องมีการนำไปฝาก ไว้กับ
สำนักงานศึกษาธิการจังหวัด นายวิระศักดิ์กล่าวว่า วัดพระธรรมกายไม่มีรายได้จากการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ใด ๆ เข้าวัด ทั้งรายได้จาการที่ให้เช่าที่ดิน
หรือเงินรายได้จาก ธุรกิจ ผลประโยชน์อื่นใด ฉะนั้น จึงไม่มีเงินส่วนนี้ที่ต้องนำเข้าฝากกับศึกษาธิการจังหวัด ตามระเบียบ สำหรับเงินที่มีผู้นำมาถวายให้นั้น จะมีอยู่ด้วยกัน 2 ส่วนคือ
เงินที่ผู้นำมา
ถวายให้กับวัด
และถวายให้กับพระธัมมชโยโดยส่วนตัว ซึ่งตรงนี้ อยากจะขอชี้แจงว่า ต้องมองไปที่วัตถุประสงค์ของผู้ถวายเงินว่า มีวัตถุประสงค์อย่างไร
เช่นผู้ถวายมีความประสงค์
จะถวายให้พระธัมมชโยไว้เป็นส่วนตัว ก็จะเป็นเงินส่วนตัวของพระธัมมชโย ที่จะนำไปใช้จ่ายอะไรก็ได้ ไม่ผิดไปจากเจตนาวัตถุประสงค์ของผู้ถวาย เช่นเดียวกันกับเงินนิตยภัต ซึ่งเป็นเงินส่วนตัวของพระสังฆาธิการ ไม่ไช่เงินของวัด พระสังฆาธิการผู้รับเงิน จะนำไปจับจ่ายอะไรก็ได้ ที่ไม่จำเป็นต้องเป็นกิจของวัด
และถ้าผู้ถวายมีวัตถุประสงค์จะถวาย
ให้กับ วัด และระบุว่า เพื่อสร้างถาวรวัตถุอะไรก็ตาม ก็ต้องใช้จ่าย ให้เป็นไปตามเจตนาของผู้ถวายนั้น ซึ่งทางวัดพระธรรมกาย ขอยืนยันว่า
ที่ผ่านมายังไม่มีผู้บริจาครายใด
ยื่นหนังสือ
เข้าร้องเรียนต่อศึกษาธิการจังหวัด หรือหน่วยงาน หรือทางฝ่ายปกครองสงฆ์ว่า วัดพระธรรมกายได้ใช้จ่ายเงินผิดไปจากวัตถุประสงค์ของผู้ถวายเลยแม้แต่รายเดียว
สำหรับเรื่องหนังสือโฉนดที่ดินของวัดพระธรรมกาย ที่ไม่ได้มีการนำไปฝากเก็บไว้ในสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดนั้น นายวิระศักดิ์ได้กล่าวตอบว่า เนื่องจากวัดพระธรรมกาย
ได้มี
สถานที่จัดเก็บเอกสารสำคัญต่าง ๆ ไว้อย่างปลอดภัยแล้ว ซึ่งท่านศึกษาธิการจังหวัดก็ยังให้การยอมรับชัดเจนแล้วว่า มีความปลอดภัยสูงในการจัดเก็บ
รวมถึงระบบการบริหาร
จัดการต่าง ๆ ของทางวัด ก็มีระบบระเบียบการจัดการที่ทันสมัย จึงไม่มีความจำเป็นต้องนำไปฝากเก็บไว้ที่ศึกษาธิการจังหวัด ซึ่งเรื่องนี้ ตนต้องขอกล่าวชี้แจงว่า วัดพระธรรมกาย ไม่ได้มีอภิสิทธิ์เหนือกว่าวัดอื่น ๆแต่อย่างใด แม้แต่วัดมูลจินดาราม ซึ่งเป็นวัดของเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีเอง ก็ยังไม่ต้องนำเอกสารที่ดินไปฝากเก็บเช่นเดียวกัน
"ระเบียบต่าง ๆ ไม่ว่า จะเป็นระเบียบที่ออกมาโดยมติมส. พรบ.คณะสงฆ์ หรือจาก กฎหมายฉบับอื่นใด ก็ตาม เชื่อว่า วัดทุกวัด คงถือปฏิบัติเช่นเดียวกันทุกวัด
แต่การจะมา คอย
จับผิดเฉพาะวัดพระธรรมกายนั้น เห็นจะไม่เป็นธรรมนัก ควรที่ข้าราชการผู้มีหน้าที่รับผิดชอบต่องานของคณะสงฆ์ จะได้ออกมาตรวจสอบกันให้ทั่วถึง เหมือนๆ กัน ทุกวัด
เพื่อ
ประชาชนที่เฝ้าติดตามดูพฤติกรรมของข้าราชการส่วนนี้ เขาจะได้ไม่มีข้อกังขาว่า เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐเลือกปฏิบัติ" นายวิระศักดิ์ กล่าว
วันเดียวกัน พ.ต.อ.สมพงษ์ คงเพชรศักดิ์ รอง ผกก.ป. พร้อมด้วย พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ผกก.2ป. ได้นำสำนวนการสอบสวนกรณีวัดพระธรรมกาย เข้าพบนายชัยวัฒน์ อรุโณทัยวิวัฒน์ รองหัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย เขต 2 ซึ่งทำหน้าที่เป็นเวรอนุมัติหมายจับกุม เพื่อขออนุมัติหมายจับกุมพระธัมมชโว นางสงบ ปัญญาตรง นายมัยฤทธิ์ ปิตะวนิค และนายชาญวิทย์ ชาวงศ์ ในข้อหายักยอกทรัพย์เงินวัดไปใช้ในธุรกรรมส่วนตัว เป็นเงินกว่า 100 ล้านบาท โดยใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมง ทั้งนี้ พ.ต.อ.สมพงษ์ กล่าวว่า
รองหัวหน้า
ผู้ตรวจราชการได้อนุมัติเป็นหมายเรียกแทน แต่หากพนักงานสอบสวนได้เรียกตัวมาสอบปากคำแล้วไม่มาพบเป็นเวลา 7 วัน ก็จะออกหมายจับทันที ซึ่งมั่นใจว่า
ผู้ต้องหาจะไม่ หลบหนี ไปไหน คดีดังกล่าวเป็นคดีต่อเนื่องจากครั้งที่แล้ว แต่พบหลักฐานการกระทำผิดใหม่ จึงต้องดำเนินคดีใหม่ นอกจากนี้ ยังพบการกระทำผิดในลักษณะเดียวกันอีกหลายคดี เป็นเงินหลายร้อยล้านบาท ส่วนใครจะเกี่ยวข้องเป็นผู้ร่วมขบวนการบ้างนั้น ต้องรอดูหลักฐานอีกครั้ง