ปีที่ 2 ฉบับที่ 700 ประจำวันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2542

ปุจฉา วิสัชนา

อัตตาหรืออนัตตา?

เรียน "ไอ้ทิด"

ตอนนี้พระธรรมปิฎกท่านออกหนังสือกรณีธรรมกาย เล่มสมบูรณ์มาอีกเล่ม เนื้อหาส่วนใหญ่ก็โจมตีวัดพระธรรมกายเหมือนเดิม และก็ยัง คงยืนยันว่า พระนิพพานเป็น "อนัตตา" วาน "ไอ้ทิด" ช่วยวิจารณ์หน่อย เพราะผมไม่เชื่อว่าความเห็นของพระธรรมปิฎกถูกต้อง และถ้าผิด พระธรรมปิฎกจะรับผิดชอบในเรื่องนี้ได้มากน้อยแค่ไหน

คนชอบสมาธิ


ถ้าใครเคยอ่านพระไตรปิฎกจนหมดทุกเล่มแล้ว จะพบว่า พระไตรปิฎกไม่ได้ระบุไว้อย่างชัดเจนเลยว่า พระนิพพานเป็น "อัตตา" หรือ "อนัตตา" ถึงมีระบุอยู่ แต่ถือว่าน้อยมาก

ทั้งนี้เป็นเพราะพระพุทธเจ้าท่านทรงต้องการให้พุทธศาสนิกชน ฝึกฝนด้วยตนเองจนถึงพระนิพพาน เมื่อถึงตรงนั้นแล้ว ไม่ต้องเถียงไม่ต้อง ถามกันให้วุ่นวายอีกต่อไป

ธรรมะของพระพุทธเจ้า เป็น "ปัจจัตตัง" ครับ ต้องรู้เองเห็นเอง ไม่มีใครทำให้คนอื่นเห็นทางได้ แม้แต่พระพุทธองค์ ก็ทรงบอกว่า พระองค์ เป็นเพียง ผู้บอกทางเท่านั้น แต่การเดินไปตามทาง หรือเดินหา "แก่นธรรม" นั้น คนที่อยากได้ธรรมะของพระองค์ จะต้องเดินไปด้วยตนเอง

ดังนั้นอยากจะสรุปไว้ตรงนี้เลยครับว่า เรื่องพระนิพพานนี้ ไม่ควรนำมาเถียงกันบนหน้าหนังสือพิมพ์ เพราะมีแต่จะสร้างความร้าวฉาน ให้เกิดขึ้นในหมู่พุทธศาสนิชน การเถียงดังกล่าวจะเป็นการแบ่งแยกชาวพุทธออกเป็น 2 กลุ่ม คือ

กลุ่มที่เห็นว่า พระนิพพาน เป็นอัตตา กับกลุ่มที่เห็นพระนิพพาน เป็นอนัตตา

ท้ายที่สุดแล้ว ถ้าเรื่องรุนแรงจนบาลปลาย อย่างเบา ก็จะต้องมีการแตกแยกนิกายกันออกไป อย่างหนัก ก็จะมีการยกพวกตีกัน หัวร้างข้าง แตก หรือกระทั่งถึงตาย บางกรณีอาจขยายความจนกลายเป็นสงครามศาสนาไปเลยก็ได้

ทางที่ดีอยากให้ทุกฝ่าย ตั้งมั่นอยู่ในความสงบ ปฏิบัติไปตามความเชื่อมั่นของตนเอง ไม่ควรไปก้าวก่ายใส่รายคนอื่น เพราะมันจะทำให้ จิตใจไม่สงบน่ะครับ

คนที่ไม่มีความสงบสำรวมน่ะ เขาไม่มีวันตามถึง "แก่นธรรม" แบบที่เขาหวังไว้หรอก

โดยเฉพาะวิธีตามหาแก่นธรรมของ คุณเจิมศักดิ์นั้น น่าจะแตกต่างไปจากวิธีของพระพุทธเจ้าโดยสิ้นเชิง เพราะเป็นการต่อปากต่อคำ ทำให้จิตฟุ้งซ่าน ขาดความสงบระงับ

วิธีหาแก่นธรรมของพระพุทธเจ้านั้น ท่านให้นิ่งเงียบครับ หุบปากให้สนิท พินิจพิจารณาความเป็นไปของดวงจิต อารมณ์ต่างๆ และ ความคิดทั้งปวง

ถ้าใครเคยฝึกสมาธิจนจิตสงบระงับ จะเข้าใจได้ดีว่า วิธีไหนถึงจะเป็นการหาแก่นธรรมได้อย่างแท้จริง

ยิ่งกรณีของพระธรรมปิฎก ที่ยกย่องกันว่าเป็น "ปราชญ์แห่งพุทธ" นั้น "ไอ้ทิด" อยากถวายข้อแนะนำท่านไว้นิดหนึ่งว่า การถึงธรรมของ พระพุทธเจ้านั้น ไม่มีวันถึงได้ด้วย "ความคิด" อย่างเด็ดขาด

แต่การถึงธรรมของพระพุทธเจ้านั้น ต้องถึงด้วย "ญาณทัสสนะ" ตามพุทธวิธีเท่านั้น

พระพุทธองค์ทรงแยกปัญญาไว้ 3 ระดับ เชื่อว่าพระธรรมปิฎก ต้องรู้ดีกว่าใครอย่างแน่นอน

1. สุตามยปัญญา คือปัญญาที่ได้จากการฟัง ได้ยิน เป็นปัญญาของชาวโลก หรือที่เรียกว่า ปัญญาในระดับ โลกียะ

2. จินตมยปัญญา คือปัญญาที่ได้จากการคิด ใคร่ครวญ ไตร่ตรอง เป็นปัญญาแบบชาวโลกเช่นกัน

3. ภาวนามยปัญญา คือปัญญาที่เกิดจากการภาวนา ใครได้ปัญญาตรงนี้ ก็คือปัญญาที่ทำให้คน พ้นไปจากการเวียนตายเวียนเกิด เป็นปัญญา ขั้นโลกุตตระ เป็นปัญญาที่ทำให้คนพ้นไปจากการเวียนว่ายตายเกิดได้จริงๆ

ดังนั้นการเขียนหนังสือเก่ง การคิดอรรถกถาเก่ง การคิดทางศาสนาเปรียบเทียบต่างๆ ยังมีความหมายเพียงแค่ปัญญาโลกียะเท่านั้นเอง ไม่ได้ ทำให้คนเข้าถึงธรรมอย่างแน่นอน

นอกจากนี้ในศาสนาพุทธยังแบ่งมนุษย์ออกเป็นหลายระดับอีกด้วย คือ

1. ปุถุชน คนประเภทนี้พระพุทธเจ้ายังไม่สอน ตองรอจนก่าเขาหมดเวรหมดกรรมเก่าเสียก่อน จึงจะสอนให้ เพราะเป็นประเภทที่พูดกัน ไม่รู้เรื่อง

2. สามัญชน คนประเภทนี้ พระพุทธเจ้าเริ่มสอนบ้างแล้ว แต่การสอนจะต้องชักแม่น้ำทั้ง 5 เพื่ออธิบายให้เข้าใจ ให้มีศรัทธาในพระรัตนตรัย เกิดขึ้นในจิตใจ

3. กัลยาณชน คนประเภทนี้ พูดครั้งเดียวสามารถเข้าใจข้ออรรถข้อธรรมได้ ไม่ต้องอธิบายให้มากความ

4. โสดาบันบุคคล เป็นคนที่เที่ยงแท้ต่อหนทางพระนิพพานแล้ว เพราะเป็นผู้เข้าถึงไตรสรณคมน์ คือยึดพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ว่าเป็นที่พึ่ง และสามารถละสังโยชน์ หรือบาปได้ 3 ข้อคือ

ข้อแรก สักกายทิฏฐิ หรือการยึดถือว่า ร่างกายเป็นเราเป็นของเรา คนที่มีจิตเข้าขั้นโสดาบันได้แล้วนั้น เขารู้ตัวอยู่เสมอว่า อัตตภาพร่างกาย นี้ ไม่ช้าก็ แก่ เจ็บ ตายไป เป็นที่อาศัยชั่วคราว

เปรียบเหมือนเสื้อผ้าชุดหนึ่ง อีกไม่นานก็ต้องถอดทิ้ง เป็นเหยื่อของหมู่หนอนและแมลง เต็มไปด้วยกองทุกข์อันมีประการต่างๆ ต้อง ประสบทุกข์จาก เย็น ร้อน อ่อน แข็ง มากเกินไป หิวกระหาย ความเจ็บไข้ได้ป่วย มีความเปราะบาง แตกสลายได้โดยง่าย

ข้อสำคัญคือ เริ่มเห็นว่า การมีร่างกายนี้ เป็นทุกขลาภโดยแท้ เพราะว่ามันเป็นเรือนหรือที่ตั้งของตัณหา คือความทะยานอยากทั้งปวง นั่นเอง สรุปก็คือ ร่างกายนี้ เป็นบ่อเกิดแห่งทุกข์โดยแท้

ข้อสอง สีลัพพตปรามาส คือเว้นจากการผิดศีลโดยเจตนา ถือศีล 5 ได้มั่นคง ได้อย่างเข้าใจในคุณค่าของศีลแต่ละข้อที่ตนเองถือ เช่น ทำไม ถึงเลิกฆ่าสัตว์ เป็นเพราะรู้ดีว่า สัตว์ต่างก็รักชีวิตของตนเองด้วยกันทั้งนั้น เรารักชีวิตเราแค่ไหน สัตว์ก็รักชีวิตของตนเองเช่นเดียวกัน

ทำไมถึงเลิกลักทรัพย์ เป็นเพราะรู้ดีว่า ตนเองก็รู้สึกรักทรัพย์สินที่หามาด้วยความเหนื่อยยาก คนอื่นเขาก็รู้สึกในลักษณะเดียวกัน

ทำไมถึงเลิกประพฤติผิดในกาม เป็นเพราะรู้ดีว่า การคบชู้สู่ชายจะเป็นทางนำมาซึ่งความฉิบหายทั้งปวง ขั้นเบาก็ทะเลาเบาะแว้ง ขั้นหนักถึง บ้านแตกสาแหรกขาด บางรายถึงหวงถึงฆ่ากันตาย

ทำไมถึงเลิกโกหก เป็นเพราะรู้ดีว่า การโกหกทำให้คนอื่นไม่เชื่อถือ ซึ่งถ้าโกหกมากๆ เข้าแล้ว แม้แต่ตัวเอง ก็ยังเชื่อถือตนเองไม่ได้เลย ทำให้ขาดความมั่นใจในตัวเอง ทำอะไรไม่หนักแน่นจริง ไม่มีสัจจะ

ทำไมถึงเลิกดื่มสุรา เป็นเพราะรู้ดีว่า สุราพาให้เกิดความฉิบหายได้มากมาย นอกจากเสียเงินแล้ว ยังเป็นต้นทางของอบายมุข ทุกประเภท อีกด้วย ตั้งแต่เที่ยวกลางคืน ดูมหรสพ เล่นการพนัน และอะไรอื่นๆ อีกมายมาย รวมทั้งยังทำให้เสียสุขภาพอย่างร้ายแรง

นี่การถือศีลนี่ จะต้องรู้ทั้งเหตุและผล รู้ถึงคุณประโยชน์ของศีลให้ครบถ้วน และถ้าคือไปได้ถึงขั้นละเอียดแล้ว จะเห็นได้ชัดเจนเลยว่า จิตของผู้ถือศีลจะเปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณา ไม่พยาบาทปองร้ายผู้อื่นอีกตลอดไป ผลที่ได้ก็คือความสงบอกสงบใจ เป็นจิตที่เหมาะสำหรับ การฝึกสมาธิชั้นสูงในโอกาสต่อไป

ข้อสาม วิจิกิจฉา เลิกสงสัยในคุณพระพุทธพระธรรม พระสงฆ์ ถ้าเป็ฯการพูดแบบวิชชาธรรมกายแล้ว เรียกว่า เป็นการเข้าถึงรัตนะทั้ง 3 คือ พุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ หรือแก้ว 3 ประการนั่นเอง

คนที่รู้ถึงคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ว่าเป็นของมีจริง ไม่ใช่นิยายปรัมปรา ที่คนโบราณเขาแต่งมาหลอกเด็ก เพื่อให้เด็กเป็นคนดี การที่คนจะเชื่อถึงขั้นนี้ได้นั้น จะต้องมีปัญญาคมกล้าพอสมควร ถ้าเดินตามแนววิชชาธรรมกายแล้ว คนผู้นั้น จะต้องเดินวิชชามาจนเข้าถึง ธรรมกายโคตรภู ซึ่งเริ่มเปลี่ยนจากจิตปุถุชนมาเป็ฯ อริยชน เป็นผู้เที่ยงแท้แน่นอนต่อพระนิพพานแล้ว

โสดาบันบุคคล เมื่อเกิดขึ้นในโลก ย่อมจะยังประโยชน์ให้เกิด แก่โลก แก่สังคม ได้มากมายมหาศาล เพราะเขาคิดถึงตนเองน้อยลง หรือ เห็นแก่ตัวน้อยลง ไม่สามารถก่อทุกข์โทษเวรภัยใดๆ ได้อีกต่อไป

พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ธรรมะของพระองค์เป็น "อกาลิโก" คือปฏิบัติได้ไม่จำกัดกาล ใครปฏิบัติอย่างจริงจัง ถูกแนวทาง ก็ย่อมจะได้รู้ ได้เห็นธรรม เหมือนกับที่พระองค์และพระสงฆ์สาวกได้เคยเห็น เคยรู้มาเช่นเดียวกัน

ในเมื่อเรารู้อย่างชัดเจนแล้วว่า ธรรมะของพระพุทธองค์สามารถพัฒนาจิตใจของมนุษย์ให้พัฒนาสูงขึ้นเป็ฯลำดับได้ เมื่อเห็นคน ตั้งหน้า ตั้งตา ปฏิบัติธรรม ควรจะให้การสนับสนุน ไม่ควรบั่นทอน ลดศรัทธาด้วยวิธีการใดๆ ทั้งปวง คนดีเกิดขึ้นในสังคมได้คนหนึ่ง ช่วยเพื่อนร่วมโลก ได้มากมายมหาศาล

อย่าขัดขวางการทำความดีของคนอื่นเลยครับ นอกจากจะเป็นบาปแก่ตนเองแล้ว ถ้าคนอื่นเชื่อความเห็นของท่าน ไม่ส่งเสริมให้คนทำ ความดี แล้วสังคมจะอยู่กันอย่างเป็นสุขได้อย่างไร?

ไอ้ทิด

[หน้าหลัก] [หน้า1][วิวาทะ][ปุจฉา][พิเศษ]

1