ปีที่ 2 ฉบับที่ 700 ประจำวันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2542

วิวาทะ

จะออกกฎหมายให้มีผลบังคับย้อนหลังหรือ?

เมื่อวานผมพูดเรื่องการยกหรือโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินของพระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ธัมมชโย) ให้กับวัดพระธรรมกาย ค้างไว้...

วันนี้จึงขอขยายเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องที่ดิน (ไม่เฉพาะจงเจาะแต่วัดพระธรรมกายเท่านั้น) แต่จะพูดกันในขั้นสังฆปริมณฑล กล่าวคือ ต้องมี ผลบังคัให้เกิดเป็นรูปธรรมต่อภิกษุสงฆ์ทั่วประเทศ

ก่อนอื่นขอให้ทำความเข้าใจกันก่อนว่า การตรา หรือ การออกกฎหมาย ระเบียบใดๆ ก็แล้วแต่ ไม่ปรากฏมาในประวัติศาสตร์เลยว่า .. จะมีผลบังคับ หรือให้ปฏิบัติตามย้อนหลัง

เพราะหากมีการตราหรือออกกฎหมาย เพื่อให้มีผลบังคับย้อนหลัง สังคมบ้านเมืองนี้ ก็คงจะวินาศสันตะโรไปนานแล้ว

ก่อนที่จะพูดเรื่องการถือครองที่ดินของพระภิกษุ จะพูดถึงที่ไปที่มาของพระธรรมวินัย ซึ่งเปรียบเสมือนกฎหมายรัฐธรรมนูญ หลายคน ข้องใจว่า ทำไมพระธรรมวินัยของพระสงฆ์ จึงมีรายละเอียดมากมายมหาศาล มีข้อห้ามไว้ชวนขันหลายเรื่อง อาทิ ห้ามพระภิกษุสงฆ์ใช้มาตุคาม (หญิง) ซักสบง จีวร ให้พระภิกษุ

เรื่องนี้มีในพระไตรปิฎก เหตุแห่งการห้ามดังกล่าว เนื่องจากสามีภรรยาคู่หนึ่ง มีความเลื่อมใสศรัทธาพระพุทธเจ้า จึงอุทิศตนบวชเป็นพระ และภิกษุณี

อดีตภรรยาหรือภิกษุณีดังกล่าว ก็ปรนนิบัติพระรูปนี้ โดยได้นำสบง จีวร ไปซัก แต่เกิดเป็นความขึ้น เมื่อเธอเกิดตั้งครรภ์ขึ้นมา จนเป็น ที่โจษของชาวบ้าน

ความร้อนถึงพระเนตรพระกรรณ พระพุทธเจ้าจึงทรงสั่งห้ามภิกษุ ให้มาตุคามซักสบงจีวร ในเวลาต่อมา โดยที่ไม่ได้ปรับอาบัติใดแก่ภิกษุ รูปนั้น

เรื่องการโอนที่ดินของเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ให้กับวัดต้นสังกัด ซึ่งคุณอาคม เอ่งฉ้วน ออกมาขีดเส้นตาย จะต้องโอนก่อนเวลา 16.30 น. ของวันที่ 9 มิ.ย.นั้น หากไม่ปฏิบัติตามจะดำเนินคดีอาญา จับสึกกันเลยทีเดียว

จึงไม่ใช่เรื่องที่หลายฝ่ายจะมองข้ามไปเสียแล้ว

ผมมีคำถามว่า ทำไมคุณอาคมต้องกำหนดอะไรทำนองนี้ออกมา เอาอำนาจอะไรมาใช้ ชอบธรรมด้วยกฎหมายหรือไม่?

การโอนที่ดินมีปฐมเหตุมาจากอะไร?

นี้คือคำถามที่ต้องหาสาเหตุ อันจะนำไปสู่การแก้ปัญหาได้อย่างสันติวิธี

ผมเขียนเรื่องการศาสนา แต่กลับไปนึกถึงภาพเวทีที่มีผืนผ้าใบปู มีเชือกล้อม 4 ด้าน

มีคุณอาคมเป็นกรรมการ วัดพระธรรมกายเป็นนักมวยอยู่มุมน้ำเงิน (น้องรอง) กระแสต่อต้านธรรมกาย และ "สื่อ" เป็นคู่ชกอยู่มุมแดง (พี่ต่อ)

มวยคู่นี้ ชกกัน 12 ยกตามกติกามวยโลก ยกที่ 1-3 ไม่มีปัญหาอะไร พอยกที่ 4 ฝ่ายกระโดดกัดหูคู่ต่อสู้ จนมุมน้ำเงินร้องลั่น แต่คุณอาคม ในฐานะกรรมการนึกว่า มุมน้ำเงินตุกติก สำออย

เหมือนอย่างคู่มวยนัดหยุดโลก ระหว่าง โฮลิฟิลด์ และ ไมค์ ไทสัน กรรมการไม่สนใจว่า มุมน้ำเงินที่จะถูกคู่ต่อสู้เล่นสกปรก กัดจนหูแหว่ง ปล่อยให้การชกดำเนินต่อไปอีกยก

จนได้รับสัญญาณจากกรรมการนอกเวที ที่พิสูจน์จากผลการบันทึกภาพวิดีโอ เห็นชัดว่า มุมแดงเล่นนอกเกม ไร้กติกามารยาท ไม่มีสปิริต ของนักกีฬา ใช้ปากที่มีฟันแหลมคม กัดหูคู่ต่อสู้จนแหว่ง

นักมวยมุมน้ำเงินน้อยใจคุณอาคมอยู่มิใช่น้อย แต่ก็ไม่ถือสาอะไรหรอกครับ เพราะคนอยู่บนเวทีด้วยกัน โดยมาก มักจะมองไม่เห็นเหลี่ยม เห็นมุมที่ชัดเจน ต้องให้คนที่นั่งดูรอบๆ เวทีเขาตะโกนบอก

เขียนมายืดยาว ไม่มีเจตนาจะทำให้เกิดภพาสงครามความขัดแย้งทางศาสนา เหมือนอย่างที่พระธรรมปิฎก ท่านเปรียบเรื่องคนสูบฝิ่น เป็นคนดีนั้น รวมถึงผู้ที่ศรัทธาเข้าวัดพระธรรมกาย

แต่ภาพการที่ออกมามันสื่ออย่างนี้ เห็นกันอย่างนี้ ผมพูดถึงอำนาจของคุณอาคมในฐานะรัฐมนตรีช่วยกระทรวงศึกษาธิการ กำกับดูแล กรมการศาสนา

คุณอาคมมีอำนาจเต็มในการจัดการเรื่องวัดพระธรรมกาย

แต่คุณอาคมหยิบอำนาจมาใช้ไม่ถูกจังหวะ จึงทำให้ออกอาการผิดรูปผิดฝาเกิดขึ้น

ปฐมเหตุที่ห้ามพระถือครองที่ดิน เราต้องยอมรับว่า เพิ่งมาเกิดในยุคสมัยนี้เอง พระธรรมวินัย ก็ไม่ได้บัญญัติตราห้ามไว้แต่อย่างใด ไม่ ปรากฏด้วยซ้ำไปว่า พระถือครองที่ดิน ซึ่งได้มาจากศรัทธาสาธุชนสาธุชนนั้น ต้องอาบัติ ปาราชิก

ไม่มีอย่างแน่นอน เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน (ใช้กฎกติกากฎหมายปัจจุบันที่เป็นเครื่องมือปกครองสงฆ์อยู่ในปัจจุบันนี้ เท่านั้น)

อีกทั้งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1623 บัญญัติไว้อย่างชัดเจนว่า พระภิกษุสามารถถือครองกรรมสิทธิ์โฉนดที่ดิน นส.3 ได้

"ทรัพย์สินของพระภิกษุที่ได้มาระหว่างที่อยู่ในสมณเพศนั้น เมื่อพระภิกษุนั้น ถึงแก่มรณภาพให้ตกเป็นสมบัติ ของวัดที่เป็นภูมิลำเนา ของ พระภิกษุนั้น เว้นไว้แต่พระภิกษุนั้น จะได้จำหน่ายไปในระหว่างชีวิต หรือโดยพินัยกรรม"

ท่านรัฐมนตรีช่วยศึกษาฯ สองสามวันมานี้ ท่านมีท่าที่จะนำกฎหมาย มาดำเนินการแก้ปัญหาเรื่องการโอนที่ดินของเจ้าอาวาส

จึงอยากให้ท่านรัฐมนตรี พิจารณาแง่มุมของกฎหมายให้ละเอียดถ้วนถี่ อย่าอาศัยความรู้สึก กระแสสื่อมวลชน คนหมู่มากเข้าไปจับ

เพราะดาบที่คุณอาคมหยิบขึ้นมาถือไว้ในมือ หมายจะฟาดฟันเจ้าอาวาสนั้น มันจะเป็นศาสตราวุธประหารคุณอาคมเสียเอง

ผมพูดอย่างตรงไปตรงมา หากสู้กันตามกฎหมายแล้ว เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ไม่มีความจำเป็นอันใดเลย ที่จะต้องโอนที่ดินให้กับใคร เพราะท่านมีกรรมสิทธิ์ดังกล่าว ด้วยความชอบธรรม ถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ รวมถึงเจ้าของเดิมก็มีเจตนาศรัทธาเชื่อมั่น อย่างมั่นคงในตัว ท่านด้วย จึงอนุโมทนาถวายท่าน ซึ่งจะนำไปจำหน่ายจ่ายแจกเป็นตัวเงิน เพื่อนำมาดำเนินกิจกรรมเผยแผ่พระศาสนา ก็เป็นเรื่องที่ชอบธรรม สามารถปฏิบัติได้ โดยที่ไม่ต้องไปขอความเห็นมนุษย์หน้าไหน

การที่คุณอาคมก็ดี หรือแม้แต่ท่านพิภพ กาญจนะ อธิบดีกรมการศาสนา แก้ปัญหาเดินตามกระแสความรู้สึก มันก็รังแต่จะสร้างความฉิบหาย ให้กับบวรพุทธศาสนาเท่านั้น

ผมเห็นว่า การให้สัมภาษณ์ของคุณอาคมกำลังเดินทางเข้าสู่มุมอับเสียแล้ว โดยเฉพาะอำนาจของการขีดเส้นตาย ให้เจ้าอาวาสโอนที่ดิน ถ้าไม่โอนจะผิดกฎหมายนั้น ถือเป็นการโฆษณาชวนเชื่อ อาจเข้าข่ายหมิ่นประมาท ตามประมวลกฎหมายอาญา หมวด 3 มาตรา 126 มีโทษจำคุก ไม่เกินหนึ่งปี ปรับ 2 หมื่น หรือทั้งจำทั้งปรับเชียว

ล่าสุด คุณมานิต รัตนสุวรรณ แถลงเรื่องการโอนที่ดินว่า เจ้าอาวาสโอนที่ดินว่า เจ้าอาวาสโอนที่ดินให้แล้ว 304 ไร่ เหลืออีกพันกว่าไร่ ต้องรอความเห็นเจ้าของที่ดินเดิม

ถูกต้องแล้วครับ ท่านเจ้าอาวาสมีกรรมสิทธิ์ตามกฎหมาย 1,000 % จะโอนให้วัด หรือถือครองไว้เอง หรือโอนกลับไปให้เจ้าของเดิม ชอบธรรมอยู่แล้ว

แต่ความพยายามที่น่าจับตามองที่สุดก็คือ หนังสือของกรมการศาสนา อ้างถึงพระราชดำริพระสังฆราช ให้นำ พ.ร.บ. 2511 และ พ.ร.บ. 2505 ขึ้นมาพิจารณาปัดฝุ่น ยกร่างคำแนะนำเกี่ยวกับการถือกรรมสิทธิ์ และการถือครองที่ดินของวัด เพิ่งเสร็จหมาดๆ

ก็ขออนุโมทนาด้วย หากจะทำอะไรให้มันเป็นขั้นเป็นตอน อย่าใช้กฎหมู่เหนือกฎหมาย จะแก้ไขอะไร จะทำอะไรก็ต้องชอบด้วยกฎหมาย และไม่มีกฎหมายฉบับใดอันธพาล เอาความผิดย้อนหลัง วิญญูชนเขาไม่ทำกัน เข้าใจไว้อย่างนี้ พ้นคุก พ้นตะราง ครับ

โซตัส

[หน้าหลัก] [หน้า1][วิวาทะ][ปุจฉา][พิเศษ]

1