ปีที่ 7 ฉบับที่ 664 ประจำวันศุกร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2542
สหัสวรรษที่ 3
ข้อเท็จจริงกรณีวัดพระธรรมกายกับความอยู่รอดของคณะสงฆ์ไทย (4)
2542 ยุทธการปล้นวัด
สิ่งที่น่าสังเกต ขณะที่มีการพิจารณาพระราชบัญญัติเช่าอสังหาริมทรัพย์ (ให้คนต่างชาติเช่าที่ดินในประเทศไทยได้ 50 ปี ต่อสัญญาอีก 50 ปี รวมเป็น 100 ปี เท่าสัญญาอังกฤษเช่าเกาะฮ่องกง) ได้เริ่มเกิดกรณี "วัดพระธรรมกาย" ขึ้น และหลังจากที่รัฐบาล ได้ผ่านร่างพระราชบัญญัตินี้ กระแสของการต่อต้านวัดพระธรรมกาย รุนแรงขึ้น โดยเฉพาะเรื่องที่ดิน และเงินมูลนิธิฯ
สาเหตุ เพราะวัดพระธรรมกายมีที่ดินมาก และคาดว่า มีรายได้เป็นเงินสดในบัญชีมาก
วัดพระธรรมกาย จัดว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก และของพระพุทธศาสนา เพราะไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ว่า จะมีวัดใด สามารถผลิตทรัพยากรทางพุทธศาสนา เปรียญธรรม ได้มากมายถึงขนาดนี้ โดยเฉพาะเปรียญธรรม 9 ประโยค การจัดการบริหาร ระเบียบวินัย รายได้ของวัด คุณภาพของผู้บรรพชา อุบาสกอุบาสิกา ล้วนแล้วแต่เป็นปัญญาชน ที่ต่อไปในวันข้างหน้า จะต้องเป็นผู้ที่มีบทบาท ในการบริหาร ประเทศ ทั้งทางการเมือง ธุรกิจ และการศาสนา อย่างมีระเบียบ แบบพุทธศาสน์ ซึ่งยังไม่เคยปรากฏมาก่อนในยุคใด ว่าสามารถประสบ ความสำเร็จ ได้ถึงขนาดนี้ ควรที่จะยกย่อง สนับสนุน ในความเป็นจริง และตามหลักเหตุและผลทั้งปวง
จากจุดสังเกตดังกล่าวข้างต้นนั้น เนื่องจากวัดพระธรรมกาย ถือครองที่ดินในจุดเศรษฐกิจสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในจังหวัดพิจิตร และ จังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งมีเนื้อที่อยู่บนสายแร่ทองคำ อันมีมูลค่ามหาศาล ดังนั้น จึงไม่เป็นสิ่งแปลกอะไร ที่วัดพระธรรมกาย จึงต้องถูกทำลาย ก่อน วัดอื่นๆ จากผลประโยชน์ร่วมของผู้ทำลาย ดังนั้น จึงมีการจัดกระแสร่วมของกลุ่มนอกศาสนา และนักการเมืองสายคอมมิวนิสต์
นายอาคม เอ่งฉ้วน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ควบคุมกรมศาสนา) ได้แถลงต่อสื่อมวลชน ปรากฏทางรายการ "ถอดรหัส" ของสถานีโทรทัศน์ ITV ว่า "ทรัพย์สินของมูลนิธิธรรมกาย ก็ยึดเข้ารัฐไปซี่ ตามกฎหมายทำได้อยู่แล้ว" ในการกล่าวเช่นนี้ แสดงว่า นายอาคมฯ รู้อยู่แล้วว่า มีกฎหมายนี้อยู่ในมือ และกำลังจะทำอะไร เราลองมาดูกฎหมายที่ว่านี้ซิเป็นอย่างไร?
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพานิชย์
มาตรา 131 "นายทะเบียน พนักงานอัยการ หรือ ผู้มีส่วนได้เสีย คนหนึ่งคนใด อาจร้องขอต่อศาลให้มีคำสั่งให้ เลิกมูลนิธิ ได้ในกรณีหนึ่ง กรณีใด ดังต่อไปนี้ ฯลฯ
(2) เมื่อปรากฏว่า มูลนิธิกระทำการขัดต่อกฎหมาย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรืออาจเป็นอันตรายต่อความสงบสุขของประชาชน หรือความมั่นคงของรัฐ
จากมาตรการนี้ จะเห็นได้ชัดว่า เป็นเจตนาของผู้สร้างสถานการณ์ "ธรรมกาย" เพื่อเป็นกรณีตัวอย่างให้เกิด "ฎีกา" ขึ้น ในศาล ให้เป็น บรรทัดฐานในการดำเนินการกับมูลนิธิอื่นๆ ต่อไป โดยไม่ยาก ลองพิจารณาจากเอกสาร "กรณีธรรมกาย" (ฉบับคัดตัวอย่างหน้า 3) จะเห็น ข้อความชัดแจ้งว่า ต้องการให้เข้าองค์ประกอบความผิดของมาตรา 131(2) ว่า
"มีกลุ่มคน ที่มีพฤติกรรมอันทำให้เกิดความสงสัยกันว่า กำลังทำความเสียหายต่อพระธรรมวินัย (ศีลธรรมอันดี) และ ต่อประโยชน์สุข โดยเฉพาะผลประโยชน์ทางปัญญาของประชาชน ฯลฯ"
ลักษณะการทำหนังสือ "กรณีธรรมกาย" นี้เป็นการเขียน คำฟ้องลอย แต่แทนที่จะฟ้องศาล ก็จะกลายเป็นฟ้องเท็จ จึงต้องสร้างกระแส ให้พรรคพวก ออกปลุกระดม เพื่อให้เกิดการวินิจฉัยให้เกิดความผิดให้ได้
ตามที่กล่าวอ้างไว้ว่า เป็นอันตรายต่อประชาชน คนสั่งและวินิจฉัยคือ มหาเถรสมาคม มีการใช้กระแสทางการเมืองผ่านทาง กรรมาธิการ ศาสนา (ประธานกรรมาธิการเป็นอิสลาม) เมื่อทางมหาเถรสมาคมวินิจฉัยว่า มีความผิดตามที่อ้างมานั้น ก็จะเข้าองค์ประกอบตามมาตรา 131 (2) นายทะเบียนก็สามารถนำความเข้ายื่นต่อศาล เพื่อขอเลิกมูลนิธิ จากนั้น ก็จะเข้าตามมาตรา 134 วรรค 2
มาตรา 134 ... ฯลฯ ...
ถ้ามูลนิธินั้น ถูกศาลสั่งให้เลิกตามมาตรา 131 (1) หรือ (2) หรือการจัดสรรทรัพย์สินตามวรรคหนึ่งไม่อาจกระทำได้ ให้ทรัพย์สิน ของมูลนิธิ ตกเป็นของแผ่นดิน
มันง่ายเสียยิ่งกว่าง่าย ลงทุนไม่มาก แต่ได้ผลคุ้มค่า เพราะวัดต่างๆ โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ เช่น วัดจักรวรรดิ์ ฯ วัดโพธิ์ วัดสระเกศฯ ทรัพย์สิน ส่วนใหญ่ล้วนเป็นมูลนิธิ เพื่อการทำลักษณะบัญชี จึงไม่ยากในการสร้างกระแสสื่อมวลชน เพราะมีกรณีธรรมกายเป็นตัวอย่าง (เป็นฎีกาบรรทัดฐาน)
และที่ดินส่วนใหญ่ของวัด มักอยู่ในที่เจริญ เป็นที่ชุมชน มีผลประโยชน์มหาศาล จึงเหมาะแก่การทำธุรกิจ และเมื่อตกเป็นที่ดินของรัฐแล้ว ก็สามารถนำไปทำกิจการใด ๆ ก็ได้ ไม่ใช่จะกลายเป็นธรณีสงฆ์อัตโนมัติ เพราะที่ดินเป็นสมบัติของมูลนิธิ
ถึงแม้ว่า จะเป็นที่ธรณีสงฆ์มาแต่เดิม หากว่าได้นำไปจดทะเบียนที่ดินในนามของมูลนิธิในภายหลัง ที่ดินหรือทรัพย็สินนั้น ตกเป็น ของรัฐ ทันที (เข้ากระทรวงการคลัง)
เบ็ญจ์ บาระกุล (แทน)