ปีที่ 7 ฉบับที่ 664 ประจำวันศุกร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2542

ปุจฉา - วิปัสนา

ถึง "ไอ้ทิด"

ได้อ่าน "ไอ้ทิด" ตอบคำถามเมื่อวันที่ 26 เม.ย. ที่ผ่านมา ที่ใช้ชื่อเรื่องว่า "คนเห็นพระพุทธเจ้า" แล้วยกพุทธพจน์ที่ว่า "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต" มาอ้าง โดยอธิบายว่า ถ้าคนปฏิบัติธรรมจนถึงธรรมแล้ว จะได้พบพระพุทธเจ้าจริงๆ เอ็งเอาอะไรมายืนยันในเรื่องนี้

ถ้าหากความเข้าใจของเอ็ง ผิดจากความมุ่งหมายของพระพุทธเจ้าตรัส ไม่กลัวบาปกลัวกรรมบ้างหรืออย่างไร อีกอย่างวิชชาธรรมกาย เป็นแค่ "นิมิต" เป็นแค่ "สมถะ" ไม่ถึงวิปัสสนา ถ้าคนยังติดอยู่ตรงนี้ ไม่มีวันไปถึงพระนิพพานหรอก คนที่สอนวิชชาธรรมกายน่ะ กรุณารู้ตัว ไว้ด้วยว่า กำลังหลงทาง ตอนนี้องค์กรพุทธเป็น 100 องค์กร กำลังจะเข้าชื่อกันจับเจ้าอาวาสสึก โดยเฉพาะข้อหา "ปาราชิก" ในเรื่องการถวายข้าว กับพระพุทธเจ้าในพระนิพพาน ซึ่งไม่เคยมีในพระไตรปิฎก อีกไม่นานก็จะมีผลสรุปออกมา ใครที่เชียร์สำนักนี้ให้ระวังตัวให้ดี อาจจะติดร่างแห ตามไปด้วย

ชาวพุทธคนหนึ่ง

คนเขียนจดหมายฉบับนี้ มาดูลายมือคล้ายๆ กับคนที่เคยบอกว่า "การถือศีล 8 น่ะ ยิ่งง่ายใหญ่ เพราะพวกมึงไม่มีจะแดก" สงสัยจะเป็น คนเดียวกันแหงๆ

ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตย ทุกคนมีสิทธิ์เสรีภาพในความเชื่อเป็นของตนเอง ในรัฐธรรมนูญก็กำหนดไว้ "ไอ้ทิด" เชื่อตามที่ พระพุทธเจ้า บอกว่า "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต" ซึ่งก็ตรงตามที่มีในพระไตรปิฎก เลยไม่รู้สึกว่ามีความผิดตรงไหน และก็ไม่เคยบอก ให้ใครเชื่อ อย่างนี้ เพราะไม่สามารถพิสูจน์ให้ใครเห็นได้

เอาเป็นว่าใครอยากรู้ว่า จะพบพระพุทธเจ้าจริงหรือไม่ ก็ต้องฝึกปฏิบัติเอาเอง จะพอใจเลือกฝึกแบบไหน ยุบหนอ-พองหนอ พุทโธ สัมมา อะระหัง นะมะพะทะ หรือ จะฝึกแบบนิกายเซ็น แบบของท่านพุทธทาส ถูกใจแบบไหนก็ให้เลือกเอา เชื่อว่าทุกสายทุกวิธี ต่างก็หวังให้ถึง พระนิพพานด้วยกันทั้งนั้น เพราะมีสมมติฐานเดียวกันคือ เห็นโทษภัยของกิเลส เห็นว่ามันเป็นเครื่องมือมัดมนุษย์ไว้ ให้ประสบกับ ความทุกข์ ไม่มีวันสิ้นสุด

วิธีที่จะออกจากทุกข์นั้น พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ให้ปฏิบัติใน ทาน ศีล ภาวนา ทางวัดพระธรรมกายเขาก็สอนครบ ทั้ง 3 แบบ ทานเขาก็สอน ศีลเขาก็สอน ภาวนาเขาก็สอน ซึ่งก็ถือว่าถูกต้องตามที่พระพุทธเจ้าตรัส จะถึงพระนิพพานจริงหรือไม่ เรื่องนี้ไม่มีใครพิสูจน์ได้หรอกครับ เพราะ เป็น "ปัจจัตตัง" เป็นเรื่องที่รู้ได้เฉพาะตนเท่านั้นเอง

ทุกวันนี้ก็พยายามเจริญทั้ง ทาน ศีล ภาวนา พยายามละอกุศลทั้งหลายที่จะเข้ามาในจิตใจทำให้ความทุกข์ลดน้อยถอยลงไปตามลำดับ แม้จะยังไม่หมดกิเลส แต่ก็ถือได้ว่า มีผลจากการปฏิบัติพอสมควรที่สำคัญ ไม่ได้ฝึกเฉพาะ "ธรรมกาย" วิชาเดียว อย่างอื่นก็ฝึก แล้วแต่ความ สะดวกและสิ่งแวดล้อม ไม่เคยว่าวิชาไหนไม่ดี

ธรรมะของพระพุทธเจ้าทุกบททุกตอน ควรน้อมนำเข้ามาใส่ตน ตื่นเช้าขึ้นมาก็พยายามนึกแต่เรื่องที่เป็นกุศล นึกถึงธรรมะข้อไหนได้ ก็พิจารณาค้นคว้า จนรู้สึกว่า จิตใจผ่องแผ้วไม่มีอารมณ์ขุ่นมัว มีความเมตตาปรารถนาดีต่อทุกชีวิตบนผืนโลก แม้ว่าจะไม่ถึงพระนิพพาน แต่ก็เชื่อว่า ตนเองไม่ร้ายกับใคร ไม่สามารถฆ่าใครได้อีก เพราะเห็นทุกชีวิตมีคุณค่า

ที่สำคัญที่สุดก็คือ เชื่อว่าเมื่อถึงวันหนึ่ง สิ่งที่บำเพ็ญมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จะรวมตัวกันเป็นปัญญา ที่ทำให้สามารถหลุดพ้น ไปจาก กองกิเลสได้ เหมือนกับที่ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านสอนไว้ว่า

"ชาวนาเมื่อปลูกข้าว เขาก็ไขน้ำเข้า ไขน้ำออก คอยดูแลเอาใจใส่ที่นาของตนเอง เมื่อถึงเวลาข้าวมันก็ออกรวงมาให้เก็บเกี่ยวเอง ไม่มีใคร กำหนดไว้ว่า ข้าวจงออกรวงวันนั้นวันนี้ สุกวันนั้นวันนี้"

"ไอ้ทิด" ก็เห็นจริงแบบที่ท่านบอก เพราะเราไม่รู้ว่า จะตายวันไหน และหมดกิเลสวันไหน เพียงทำได้แค่ หาธรรมะหา ความดีใส่ตัว เท่านั้นเอง อย่างน้อยพยายามให้จิตถูกอกุศลธรรมครอบงำให้น้อยที่สุด ตอนนี้เราทำได้แค่นี้ ต่อไปเชื่อว่า อาจจะทำได้มากกว่านี้ก็เป็นได้ การปฏิบัติ อย่างนี้ไม่เห็นว่ามันผิดมันเสียหายตรงไหน

เอาละถ้าสมมติว่าวิชชาธรรมกาย เป็นแค่ "สมถะ" ไม่ใช่วิปัสสนาแล้วมันเสียหายตรงไหน ที่วัดเขาแนะนำให้คนทำความดี มีจิตใจสงบนิ่ง ไม่ทำผิดคิดร้ายกับใคร ถ้าวันหนึ่งเกิดเขารู้ว่าเขายังไม่หลุดพ้น เพราะทำได้แค่ "สมถะ" เขาอาจจะไปท่อง ยุบหนอ-พองหนอ แบบที่พวกท่าน ต้องการก็ได้ และเชื่อว่าคนที่ได้ "ธรรมกาย" แล้ว จะเห็นธรรม ได้เร็วกว่าพวกท่านเสียอีก

วัดพระธรรมกายเขาวางพื้นฐานสร้างคนไว้ให้พวกท่านไม่ดีหรือ ทำไมจะต้องทำลายกันด้วย ทำลายแล้วได้อะไรขึ้นมา?

สมมติต่อไปว่า หากพวกท่านสึกเจ้าอาวาสได้แล้ว ใครจะเป็นผู้มาดูแลวัด มีบุญบารมีเป็นที่ยอมรับของสานุศิษย์วัดพระธรรมกายหรือเปล่า ดีไม่ดีวงแตก กลับบ้านใครบ้านมัน แล้วจะได้อะไรขึ้นมา มองไม่เห็นผลดีของการสึกเจ้าอาวาสเลยแม้แต่น้อย พวกท่านรู้ตัวหรือเปล่าว่า กำลังทำอะไรกันอยู่

ส่วนการที่พวกท่านบอกว่า จะสึกเจ้าอาวาสเพราะปาราชิก ในเรื่องการถวายข้าวพระพุทธเจ้าในพระนิพพานนั้น "ไอ้ทิด" เองก็สงสัย เหมือนกันว่า จะพิสูจน์กันยังไง หากว่าทางวัดพระธรรมกาย เขายืนยันว่า ถวายข้าวพระได้จริง และมีลูกศิษย์ลูกหาอีก 1 หมื่นคน เขาออกมา ยืนยันว่า เขาเห็นว่า เจ้าอาวาสนำข้าวปลาอาหารไปถวายให้จริง

เรื่องนี้มันก็เหมือนกับเรื่อง "มหัศจรรย์ตะวันแก้ว" นั่นแหละ ที่มีคนเห็นมากมายถึง 2 หมื่นคน เขายืนยันว่า เขาเห็นจริงๆ คน 2 หมื่นคน ยืนยันพร้อมกัน มีความน่าเชื่อถือเพียงพอหรือไม่ เห็นคนที่ออกมาโจมตีวัดพระธรรมกาย มีตัวละครเพียงไม่กี่ตัว กับคนเป็นหมื่นคน ต่างยืนยัน เหมือนกัน ใครน่าเชื่อถือกว่ากัน แค่นี้ปัญหามันก็น่าจะจบแล้ว

ส่วนเรื่องที่ว่าไม่เคยมีในพระไตรปิฎกนั้น

วิชายุบหนอ-พองหนอ ก็ไม่เคยมีมาในพระไตรปิฎก คาถาบทสวดมนต์ส่วนใหญ่ ก็ไม่เคยมีมาในพระไตรปิฎก

มหานิกายกับธรรมยุตินิกาย ก็ไม่เคยมีมาในพระไตรปิฎก พิธีกรรมต่างๆ ทางพุทธที่เกร่อกันอยู่ในปัจจุบันนี้ ก็ไม่เคยมีมาในพระไตรปิฎก

แม้แต่ตัวอักษรไทย ก็ไม่เคยมีในพระไตรปิฎก

สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ เกิดภายหลังพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วทั้งนั้น

ถ้ายืนยันกันอย่างนี้ว่า เรื่องนี้ไม่มีในพระไตรปิฎก ทางวัดพระธรรมกายเขาก็จะยืนยันว่า คำตัดสินคำกล่าวหา ของพวกท่าน ก็ไม่เคยมีมา ในพระไตรปิฎกเช่นกัน แล้วจะเอาอะไรยันกับเขา

ต่างฝ่ายต่างมีเหตุมีผลสนับสนุนความเชื่อของตนด้วยกันทั้งนั้น ดังนั้นเรื่องนี้น่าจะพอ และจบลงแล้ว จะเอาให้พังกันไปข้างหนึ่ง หรือ อย่างไร

และคนที่ยืนยันผ่านหน้าหนังสือพิมพ์ตลอดเวลาว่า วัดพระธรรมกายผิด ตัวเองถูกต้องตามที่พระพุทธเจ้าสอนมากน้อยแค่ไหน เคยส่อง กระจก ดูตนเองกันบ้างหรือเปล่า

เอะอะก็อ้างพระไตรปิฎกกัน ตัวเองทำตามเชื่อตามพระไตรปิฎกกี่ข้อ เอาแค่เรื่องสวรรค์-นรก พวกท่านก็ไม่เชื่อเสียแล้ว ดังนั้นเรื่องอื่น คงไม่ต้องพูดถึงกันดีกว่า เสียเวลาเปล่าๆ

ไอ้ทิด

[หน้าหลัก] [หน้า1][วิวาทะ][ปุจฉา][สหัสวรรษ]

1