ปีที่ 3 ฉบับที่ 1027 ประจำวันอาทิตย์ที่ 7 เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2543 |
มนุษย์กับจักรวาล ความไกลที่อยู่ใกล้ตา
วันนี้วันที่ 7 พฤษภาคม ปี ค.ศ.2000 สามวันหลังจากที่เกิดเหตุการณ์มหัศจรรย์บนท้องฟ้าที่ดาวนพเคราะห์ของสุริยจักรวาล 5 ดวง ที่ถือว่า ระดับบิ๊กบนท้องฟ้า
ได้มาเข้าแถว
เรียงหนึ่งตรงกันกับโลก และถ้านับดวงอาทิตย์เข้าไปอีกหนึ่งดวง ก็นับว่า เป็น 6 ดวง
แถมดวงจันทร์ที่เป็นบริวารของโลกเข้าไปอีกก็เลยกลายเป็น 7 ดวง
ถ้าจะถามว่า ตอนนี้ยังเข้าแถวเรียงกันอยู่หรือเปล่า ก็ต้องถือว่า ยังอยู่ครับ เพราะคำว่าเรียงเป็นเส้นตรง ก็ไม่ได้หมายความว่า ตรงเหมือนกับไม้บรรทัดเป๊ะนะครับ ใช้คำว่า อยู่ในแนวเดียวกันในจักรวาลอันไพศาล ก็ถือว่า ใกล้กันอย่างที่สุดแล้ว
ผมก็ไม่นึกว่า คนจะสนใจมาก หลายคนบอกว่า ให้เขียนรายละเอียดต่ออีกว่า มันเข้าแถวกันอย่างไร จะมองเห็นได้ไหม จะมีหอดูดาวที่ไหนถ่ายรูปมาให้ดูได้หรือไม่ อยากเห็นจังเลย
ผมก็บอกว่า เสียใจครับ เพราะมันมาเข้าแถวเรียงกันอยู่อีกฝั่งหนึ่งของดวงอาทิตย์ มีดวงอาทิตย์บังเอาไว้ทั้งหมดเลย คือ จากโลกเราเป็นต้นแถว
ก็จะเห็นดวงจันทร์
เพราะอยู่ติด กับเรา จากนั้น ก็จะถึงดวงอาทิตย์ แล้วก็เรียงไปตามความห่วง คือ ดาวพุธ ดาวศุกร์ กาวอังคาร ดาวพฤหัส และท้ายสุดคือ ดาวเสาร์
อันที่จริงแล้ว โลกเราจะแทรกอยู่ระหว่างดาวศุกร์กับดาวอังคารนั่นแหละ แต่เผอิญครั้งนี้มาเรียงอยู่ฝั่งตรงข้าม
อันที่จริง ผมก็ไม่ใช่นักดาราศาสตร์ แต่อาจจะเป็นนักกระยาศาสตร์ คือชอบกินขนมมากกว่า แต่ก็ชอบดูดวงดาวเป็นชีวิตจิตใจ สมัยเด็ก ๆ
อยู่บ้านนอกชอบนอนดูดวงดาว
บนท้องฟ้าเป็นประจำ ดูทั้งที่ไม่รู้ว่า ดูอะไร รู้แต่ว่า สายดีเวบาท้องฟ้ามืดๆ ตามบ้านนอก จะเห็นดวงดาวเต็มไปหมด ผมรู้สึกนอนดูไปก็คุยกับดาวกระพริบไป
แต่ที่มาสนใจครั้งนี้ เพราะติดตามคำทำนายของโลกมาหลายสิบปี ปรากฏว่า นักพยากรณ์ทั้งหลายของโลก หลายร้อยปีมาแล้ว
แม้แต่ผู้แปลความพระคัมภีร์ไบเบิล
ของศาสนา คริสต์ ก็มีการพูดถึงปี 2000 ว่า จะเป็นปีมหาวิปโยคของมนุษย์ โดยจะเริ่มตั้งแต่ปี 1999
และบรรดาโหรต่องแต่งทั้งหลาย ก็พูดกันเป็นตุเป็นตะ รวมถึงนักพยากรณ์ด้วยจิตทัศน์ที่ดังๆ ของโลก เช่น นอสตราดามุส ที่คนไทยเดี๋ยวนี้รู้จักดี ก็มิได้เว้น
เพราะโหราศาสตร์ ของโลก นั้น ก็ยึดเอาดวงดาวเป็นหลักในการพยากรณ์แทบทุกตำรา
ผมเพียงแต่แปลกใจว่า ทำไมทุกตำราทำนายแต่ในทางร้าย ในทางหายนะ ในทางวิปโยค ทำไมไม่มีตำราที่ทำนายในทางดี ในทางที่เป็นคุณต่อโลกบ้างเลย และทุกคนก็เหมาเอาว่า วันที่ 5 พฤษภาคม ปี ค.ศ.2000 นี่ดูให้ดีเถอะ จะต้องเกิดอะไรแน่นอนเลย
สองวันนี้ ผมก็พยายามอ่านข่าวทั่วโลกว่า มีอะไรเกิดขึ้นบ้างหรือไม่ เปิดทีวีต่างประเทศ ก็พยายามดูทุกช่อง ก็เห็นมีข่าวเล็ก ๆ ว่า แผ่นดินไหวเล็กน้อยในเกาะที่อินโดนีเซีย คนตายไป 9 คน แถมยังมีคลื่นยักษ์เข้ากวาด 2 หมู่บ้านในเกาะเล็กแห่งหนึ่ง ผมสันนิษฐานว่า น่าจะใกล้เส้นศูนย์สูตร ที่ถือว่า เป็นส่วนป่องที่สุดของโลกและใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุด
ก็เป็นข่าวเล็ก ๆ ไม่มีอะไร ผมเห็นภาพพระที่เมืองดัคกา ปากีสถาน ไม่กี่องค์ ไปนั่งสวดมนต์อ้อนวอน
เนื่องจากความกลัวที่ดวงดาวทั้งสุริยจักรวาลมาเข้าแถวเรียงกัน
เหมือนเป็น
การตบเท้าคารวะอะไรสักอย่าง
แต่ที่สหรัฐอเมริกาสนุกยิ่งกว่านั้น บรรดาโรงแรมในทะเลทรายที่สวยงามถูกคนจองเต็มไปหมด เพราะถือว่า ถ้าเกิดอะไรขึ้นอยู่ในที่ราบ ก็ยังน่าจะปลอดภัยกว่าอยู่ในเมือง เป็นกันเอามาก
หนักไปยิ่งกว่านั้น บรรดาแฟนๆ ที่ชื่นชอบยูเอฟโอ หรือจานบินจากต่างดาว มีความเห็นว่า การที่บรรดาดาวนพเคราะห์มาชื่นชุมนุมกันครั้งนี้
จะทำให้เกิดปรากฏการณ์
ที่มนุษย์ต่างดาว จะมาปรากฏตัวให้เห็นบนพื้นพิภพเป็นครั้งแรก
และบรรดาแฟนยูเอฟโอจำนวนมากก็ไปชุมนุมกันที่เมืองอลาโม ในรัฐเนวาดา ห่างจากย่านบันเทิงเริงรมย์ยิ่งใหญ่ของโลกคือ ลาสเวกัสไปไม่ไกลเท่าไร
เพื่อเตรียมต้อนรับ
มนุษย์ต่างดาว
และบริษัทหนังใหญ่ที่แฟนหนังเมืองไทยรู้จักดี คือ บริษัทดรีมเวอร์คส์ ก็ทำเท่ เพราะกำลังจะเปิดตัวหนังใหม่ชื่อ "Galaxy Quest" ก็เลยถือโอกาสนี้ประชาสัมพันธ์
ด้วยการสร้าง จานบิน ขนาดสูง 3.3 เมตร กว้าง 2.7 เมตร เพื่อส่งสัญญาณต้อนรับมนุษย์ต่างดาว เป็นพลังแสงไปในจักรวาล เพื่อแสดงมิตรภาพ จะได้ไม่เข้าใจผิดแล้วรบกับแหลก เข้าท่า
ผมว่า เป็นความคิดหัวใสของนักการค้าที่รู้จักใช้ความตื่นเต้นของคนให้เป็นประโยชน์ แต่ก็สนุกดีไม่ว่ากัน เพราะความคิดฝันเหล่านี้ นี่แหละที่ทำให้โลกมนุษย์เจริญจนทุกวันนี้
แต่ขอให้เป็นความคิดในการสร้างสรรค์ อย่าให้เป็นความผิดในการทำลายล้าง และเบียดเบียนสร้างความทุกข์ยากให้กับคนอื่นเลย เพราะเมืองไทยวันนี้
มีแต่นักคิดนัก สร้างสรรค์
ในการทำลายล้าง หาเรื่องจับผิด หาเรื่องเอาความชั่วมาใส่คนอื่น ล้วนแต่เป็นความคิดริเริ่มแห่งการทำลายล้างที่น่ากลัวน่าเป็นห่วง ต่อสังคมยิ่งนัก
กลับมาเรื่องต่างดาวดีกว่า ไหนๆ ก็คุยให้สนุกกันแล้ว ถ้าใครชอบดูหนังผมอยากให้ดูหนังเรื่อง Mission to Mars ที่กำลังฉายอยู่ขณะนี้ ผมดูแล้วชอบมาก ยิ่งตอนจบสุดท้าย ที่เจอเส้นทางสู่จักรวาลบนดาวอังคาร เป็นเส้นแสงสีขาวเหมือนเส้นทางจักรวาลในตัวมนุษย์ที่นักนั่งสมาธิรู้จักดี และหลายคนเดินทางไปดูมาแล้ว ภาพนี้น่าสนใจมาก
ผมว่า เขาทำได้ดีมาก ที่ให้เราไปยืน ณ จุดหนึ่ง และเห็นดวงดาวนพเคราะห์ทั้งจักรวาล จากนั้น ก็เห็นกำเนิดจักรวาล กำหนดสัตว์โลกดึกดำบรรพ์ กำเนิดมนุษย์
เส้นทางลำแสง สีขาว
ที่พระเอกต้องตัดสินใจอยู่นาน แต่สุดท้ายก็ยอมก้าวลงไปเหมือนนักนั่งสมาธิที่รีรออยู่บนขอบ กลัว ๆ กล้า ๆ
แต่ทันทีที่ก้าวลงไป จะรู้สึกอึดอัดเหมือนอยู่ในน้ำ แต่จากนั้น ก็จะเปิดตากลายเป็นเส้นทางสู่ดวงดาว ผมคิดว่า คนเขียนเรื่องนี้ต้องอ่านหนังสือเรื่องการนั่งสมาธิอย่างดี
แต่เขา
ดัดแปลงทำเป็นหนังให้ตื่นเต้น เป็นการเดินทางไปค้นพบดาวอังคารว่า ในอดีตแตกตัวไปจากโลก แต่ที่สวยงามคือ ผู้มาเชื้อเชิญให้ไปสู่จักรวาลเป็นหญิงสาวสวยเหมือนพระแม่มารี ก็เป็นความคิดสร้างสรรค์ เจ๋ง
แต่ที่ตกตะลึงคือ อาคารสู่จักรวาลนั้น เป็นรูปหน้ามนุษย์สีขาว มองแต่ไกลเหมือนพระพุทธรูปญี่ปุ่น หน้าอิ่มสวยงาม จนวันนี้ยังนั่งคิดอยู่ว่า ฝรั่งเขาอยากหมายถึงอะไร น่าคิดดีจัง
สิงห์ขาว