ปีที่ 3 ฉบับที่ 1017 ประจำวันพฤหัสบดีที่ 27 เดือนเมษายน พ.ศ. 2543 |
ศีลธรรมทางเศรษฐกิจ กับปัญญาผู้นำของโลก
ความฉลาดของมนุษย์วัดกันที่ตรงไหน สมัยก่อนจะใช้วิธีวัดด้วยระบบ ไอ.คิว. วัดได้เป็นหน่วยว่า คนนี้ฉลาดเท่าไร จริงไม่จริงไม่ทราบ แต่ก็เป็นวิธีหนึ่ง
คำถามสำคัญคือ ความฉลาดของมนุษย์ที่เก่งกว่าบรรดาสัตว์รุ่นเดียวกัน ที่กำเนิดมาพร้อมคนนี่แหละ เป็นประโยชน์ต่อโลกจริงหรือไม่ เพราะปัจจุบัน มนุษย์กลายเป็นเจ้าโลก ควบคุมทุกอย่างในโลก ด้วยมันสมอง และปัญญาอันชาญฉลาด
บุคคลที่มีชื่อเสียงระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นบิล คลินตัน โทนี่ แบลร์ โคฟี่ อันนัน เจียง เจอหมิน เยลต์ ซิน บิล เกตส์ จอร์จ โซรอส ซึ่งเป็นผู้นำโลกทางการเมือง ทางธุรกิจ ทางการเงิน ผู้ควบคุมโลกใบนี้ไว้ในมือ
ต่างก็ใช้ปัญญานำทางความสามารถจนเป็นที่ยอมรับ
แต่น่าเสียดายที่บรรดาคนเก่งเหล่านี้ ใช้ปัญญาในการเอาเปรียบ ใช้ปัญญาในการควบคุมโลก ด้วยกำลังทหารและอาวุธ ควบคุมโลกด้วยอำนาจเศรษฐกิจ ควบคุมโลกด้วยอำนาจเงินตรา
เงินดอลลาร์อเมริกัน กลายเป็นอาวุธทำลายมนุษย์ชนิดใหม่ ที่น่าสยดสยอง กลายเป็นพระเจ้าองค์ใหม่ ที่ยิ่งใหญ่กว่าศาสดาทุกองค์ในโลก และหนึ่งในผู้ชักใยพระเจ้าองค์นี้ชื่อ จอร์จ โซรอส
และยุทธศาสตร์โลกาภิวัตน์ (Globalization) ที่ถูกปล่อยออกมาให้โลกหลงระเริง ตื่นตาตื่นใจในสหัสวรรษใหม่ ว่าโลกกำลังจะรวมกันเป็นหนึ่งเดียว จะมีความมั่งคั่งทัดเทียมทั่วโลก ความยากจนจะถูกกำจัดออกไป จะมีความเสมอภาคในเวทีการเมืองทั่วโลก
การสร้างภาพว่า ชาติมหาอำนาจจะลดความเห็นแก่ตัว ยอมลดตัวลงมาเคียงบ่าเคียงไหล่กับประเทศที่ยากจน เพื่อกระจายคุณภาพชีวิตให้ทัดเทียมกันทั่วโลก
เช่น การประชุมอังค์ถัดในประเทศไทย เมื่อไม่นานมานี้ ที่ประชาชาติเกือบ 2000 ประเทศ ส่งผู้นำมาร่วมประชุมอย่างคับคั่ง
มีการปราศรัยถ่ายทอดไปทั่วโลก มีการลงนามให้
สัตยาบัน จับมือยิ้มแย้มแล้วทุกคนก็กลับบ้าน ทิ้งเอกสารไว้ในแฟ้มกับความฝันอันสูงส่ง แล้วทุกคนก็ลืม
นี่เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของโลกมายาทางการเมือง ที่ไม่มีผู้นำของโลกคนใด ที่มีความจริงใจต่อชาติอื่น เว้นแต่ประโยชน์ของชาติตัวเองเท่านั้น
แม้แต่นายโคฟี่ อันนัน ผู้นำผิดดำจากชาติอัฟริกัน ที่อยู่ในตำแหน่งสูงที่สุดของโลก คือเลขาธิการสหประชาชาติ
องค์กรที่ถูกออกแบบมา
เพื่อรักษาสันติภาพ
และความยุติธรรม ของโลก ก็ยังไม่เคยแสดงวิสัยทัศน์ใดในเรื่องนี้ แม้ในคำประกาศเจตนารมณ์แห่งสหัสวรรษของสหประชาชาติ
ก็ไม่มีคำพูดแม้แต่คำเดียว ที่กล่าวถึงคำว่า คุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรม ของบุคคลที่เป็นผู้นำของโลก ต้นตอของปัญหาสงคราม ปัญหาเศรษฐกิจ
ปัญหาความยากจนของ มนุษยชาติ
ต้นตอที่แท้ คือจิตใจและความคิดที่ซ่อนอยู่ภายใน จิตใจที่ยังกระหายสงคราม จิตใจที่แสวงหาอำนาจและความยิ่งใหญ่ จิตใจของความได้เปรียบทางเศรษฐกิจ
และยิ่งผู้นำเหล่านี้มีความฉลาดเฉลียวมากเท่าใด ความร้ายแรงและรุนแรงของปัญหาก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น โลกก็ยิ่งไม่สงบมากขึ้นเท่านั้น
ที่ผมอารัมภบทมายาว ก็เพราะได้แรงบันดาลใจจากการประชุม "Intermation Buddhist Forum" ที่ชมรมพุทธศาสน์สากล เมื่อวันที่ 23 เมษายน ที่ผ่านมานี้
ซึ่งเป็นการประชุมผู้นำทางความคิดจากชาวพุทธ ในประเทศต่างๆ ที่มาร่วมงานฉลองมหาธรรมกายเจดีย์ และได้จัดให้มีการประชุมแลกเปลี่ยนความคิดกัน
เพื่อแสวงหาหนทาง แห่ง
การผนึกกำลังกันเป็นหนึ่งของชาวพุทธทั่วโลก เพื่อแก้ปัญหาความตกต่ำทางศีลธรรมของโลก
มิติใหม่ของชาวพุทธ ที่จะแสดงบทบาทต่อในโลก ในการเผยแพร่และนำพระธรรมคำสอน ของสมเด็จพระพุทธองค์ ไปแก้ปัญหาของโลก
ซึ่งเป็นแนวคิดใหม่ซึ่งบุคคลสำคัญ
ที่ผลักดันเรื่องนี้มาเป็นเวลาเกือบ 10 ปี กลับกลายเป็นลามะทิเบต ซึ่งปัจจุบันตั้งหลักอยู่ที่อิตาลี
บุคคลที่เดินทางไปทั่วโลก พบกับผู้นำของโลก ประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี ในประเทศต่างๆ พบกับเลาขาธิการสหประชาชาติ รวมถึงพระสันตปาปา และผู้นำศาสนจักรทั่วโลก เพื่อยื่นข้อเสนอการจัด "การประชุมคุณธรรมทางจิตใจของผู้นำประเทศในสหประชาชาติ ในระดับที่ประชุมสมัชชาใหญ่" นั่นคือ ท่านลามะกังเชน
ซึ่งเป็ฯแขกพิเศษของ มูลนิธิ
ธรรมกาย ที่มร่วมงานฉลองมหาธรรมกายเจดีย์ เมื่อไม่กี่วันมานี้
ผมคิดว่าเป็นความคิดที่กล้าหาญ และท้าทายที่สุด และไม่เคยมีใครคิดมาก่อน เป็นการจุดประกายความคิดของชาวพุทธ ต่อปัญหาของโลกที่น่าทึ่ง และแก้ปัญหาถูกจุดที่สุด
ทำให้ผมนึกถึงประเทศไทยเรานี่ก็เถอะ ถ้าระดับผู้นำของประเทศไทย ทั้งภาคการเมือง ภาคธุรกิจ
มีการประชุมสัมมนาเพื่อถกปัญหาคุณธรรมของผู้นำประเทศ
จริยธรรมของผู้นำ เศรษฐกิจ ธุรกิจ การเงิน บุคคลที่ชี้ชะตากรรมของชาติ บุคคลที่ควรจะเป็นตัวอย่างของชาติ
แทนที่จะถกแต่ปัญหาปลายเหตุ คือ ความยากจน ความล้มเหลวทางเศรษฐกิจ ปัญหาคอรัปชั่น ปัญหายาเสพติด น่าจะมานั่งถกปัญหาต้นเหตุ คือ
สภาพจิตใจที่เสื่อมโทรม
ของผู้นำ ไม่มีคำว่า ศีลธรรมและคุณธรรมในจิตใจ
ผมคิดว่า ถ้าแก้ที่ต้นเหตุได้ โลกสีน้ำเงินสวยงามใบนี้ก็จะสงบลงได้จริงๆ และนี่คือ สิ่งที่สมเด็จพระพุทธองค์
ทรงค้นพบวิธีแก้ไขมานานกว่า 2,500 ปี แล้ว
แต่พวกเราบรรดา
ผู้สืบสานพุทธศาสนา กลับแยกเอาคำสอนของพระองค์ออกจากโลกแห่งความจริง ยิ่งในประเทศไทยที่ห้ามพระภิกษุสงฆ์คิดเกี่ยวข้องกับการเมือง ห้ามแม้กระทั่งตัดสิทธิ์
การลง คะแนนเสียงเลือกตั้ง
ทั้งๆ ที่ถ้านักการเมืองเหล่านี้ คำสอนของพระพุทธองค์ไปปฏิบัติ หรือเพียงแต่ยึดถือหลักเบญจศีล เบญจธรรม ง่ายๆ เพียง 5 ข้อ ประเทศก็คงไม่วุ่นวายตกต่ำถึงขนาดนี้
โลกก็คงจะ สงบสันติ และร่มเย็นยิ่งกว่านี้ และเรื่องราวของวัดพระธรรมกาย จะไม่วุ่นวายขนาดนี้
และคำปราศรัย ที่น่าทึ่งที่สุด คือจากนายแบงก์ใหญ่ระดับโลก ตัวแทนธนาคารโลกประจำสหประชาชาติ นายอัลเฟรโด ซฟีร์ ยูนิส ที่มองเห็นอนาคตใหม่ของพุทธศาสนา
ใน บทบาท ใหม่ของสังคมโลก ที่เราชาวพุทธฟังแล้วปลื้มใจเป็นอย่างยิ่ง พรุ่งนี้ผมจะนำมาถ่ายทอดให้ฟัง
สิงห์ขาว