Introduction


Thai's Poetry

      During the Ayuthaya period, Thailand developed a classical poetic tradition based on five types of verse - chan, kap, khlong, khlon, and rai. Each of these forms uses a complex set of strict rules to regulate metre, rhyming patterns and number of syllables. Although all of these poetic systems use the Thai language, chan and kap are derived from Sanskrit verse forms from India while khlong, khlon and rai are native forms. The Indian forms have all but disappeared from 20th century use. During the political upheavals of the 1970s, several Thai newspaper editors, most notably Kukrit Pramoj, composed lightly, disguised political commentary in khlon verse. Modern Thai poets seldom use the classical forms, preferring to compose in blank verse or with song-style rhyming.

http://www.siam-thai.com/directories/art/poetry.html
 
สำหรับผู้ที่มีปัญหาในการแต่งคำประพันธ์ หรือ สุนทรพจน์ลองนำวิธีนี้ไปใช้ดูซิครับ

  • ต้องรู้ประเภทของคำประพันธ์
          การรู้ประเภทของคำประพันธ์ทำให้สามารถตรวจสอบฉันทลักษณ์ให้ถูกต้องก่อน เช่น ให้แต่งกลอนสุภาพ หรือแต่งเป็นกลอนหก ให้แต่งเป็นอินทรวิเชียรฉันท์ หรือ วสันตดิลกฉันท์ เป็นต้น ถ้าไม่กำหนดชนิดคำประพันธ์แต่กำหนดหัวข้อมา ก็ต้องเลือก คำประพันธ์ ที่เหมาะกำหัวข้อนั้นๆและจำนวนบทต่อไป ข้อแนะนำการเลือกคำประพันธ์ ให้เหมาะกับหัวข้อมีดังนี้
          การแต่งถวายพระพร เฉลิมพระเกีรยติ มักนิยมใช้คำประพันธ์ประเภทโคลงและฉันท์ ซึ่งแต่ละชนิดก็ให้ความรู้สึกหรือความสง่างามน่าเคารพแตกต่างกันไป ดังตัวอย่างนี้

    
    	โคลงสี่สุภาพ
    สรวมชีพชุมหัตถ์น้อม ประณต โอนนิรุติอันรส รื่นร้อย บูรณ์อาศิรพจน์ เพียงพาทย์ ทุกท่วงมธุรสถ้อย เทิดหล้าราชัน
    ความหมาย ขอพระมหากรุณาธิคุณจงปกป้องชิวิต ข้าพระพุทธเจ้าได้ประชุมนิ้วทั้งสิบขึ้นถวายบังคม นำภาษาที่มีรสอันรื่นรมย์มาเรียงร้อย เพียบพร้อมด้วยคำถวายพระพรประดุจเสียงดนตรี พาทยการประโคม ทุกๆถ้อยคำอันอ่อนหวาน ขอเทิดทูนพระมหากษัตริย์แห่งแผ่นดินนี้ ภุชงคปยาตฉันท์๑๒
    จรุงพากย์จรดพจน์ ประชุมทศนัขสรรค์ ชุลีองค์พระทรงธรรม์ ธิราชผู้พิบูลย์บุญ
    ความหมาย ขอนำถ้อยคำอันจรุงใจจรดสู่ทุกถ้อยคำ กระทำการประชุมทศนัขคือนิ้วทั้งสิบ ขึ้นทำการอัญชลีพระมหากษัตริย์ผู้ทรงทศพิธราชธรรม เป็นอธิราชผู้เพียบพร้อม ด้วยพระบุญญาธิการ
          จะเห็นได้ว่าแม้ความหมายจะคล้ายกันแต่ลีลาและความสง่างามแตกต่างกัน จึงควรเลือกชนิดของคำประพันธ์ให้เหมาะสมด้วย อย่างไรก็ตาม กาพย์และกลอน ก็เหมาะกับ การแต่งเทิดพระเกียรติแต่ต้องอาศัยความชำนาญอย่างมากทีเดียว ที่จะเลือกสรรค์ถ้อยคำ ให้ออกมาสละสลวยได้ ดังเช่น
    กลอนสุภาพ
    สองพระเนตรแววดวงห่วงใยชาติ สองพระบาทเสด็จไปในทุกถิ่น สองพระหัตถ์โอบอุ้มคุ้มแผ่นดิน ทั่วธานินทร์ขอพระองค์ทรงพระเจริญ หรือ
    กาพย์ฉบัง๑๖
    ทวยไทยทุกมนัสปฐพี โอนมโนโมลี ขอพระองค์ทรงพระเจริญเทอญ
          การแต่งชมความงาม พรรณาความรัก ความเศร้า ขึ้นอยู่กับความถนัด และความสามารถ ของแต่ละบุคคล แต่นิยมกลอน หรือกลอนเปล่า เป็นพื้น เช่น
     ความรัก
    	 วสันตดิลกฉันท์ ๑๔
       		รักเอยจะเผยทุระฤทัย                               จะมลายกระแสปราณ
    	รักสุขก็สุขและก็จะซ่าน             		มนะซับกะสุขสันต์ 
            		รักโศกสลดอุระแสยง                               ดุจแร้งจะรุมรัน
    	เหตุทุกข์ทุรนกลจะกรรม์           		บุพกรรมกระทำมา
          "
          ..........ความรักเหมือนกับการเผยใจที่โศกเศร้า
          และทำลายลมปราณให้สิ้นลง ความรักที่มีความสุข 
          ความสุขก็จะกำซาบซ่านสู่จิตใจให้มีแต่ความสุขสันต์ 
          ความรักที่มีความทุกข์ จะทำใจให้หวาดหวั่น
          เหมือนกับแร้งที่รุมจิกรุมทึ้ง 
          การที่ทนทุกข์ทรมาน
          เหมือนเป็นกรรมในอดีตที่ทำให้เป็นเช่นนี้..... "

    ต้องรู้หัวข้อที่จะแต่ง ตีกระทู้ให้แตก

  • การรู้หัวข้อสามารถทำให้เราวางโครงเรื่อง กำหนดจุดสำคัญ เน้นความหมายและภาษาได้ การตีกระทู้ให้แตกหมายความว่าเราต้องรู้ว่ากระทู้ (หัวข้อ) นั้นมีความหมายทั้งทางตรงและทางอ้อมเป็นอย่างไร ลองพิจารณากระทู้ต่อไปนี้

    อัศวินม้าขาว

    สำนวนที่ ๑
    
    		ด้วยหมายมาดจึงมุ่งมั่นหมั่นฝึกฝน
    	ทุ่มเทตนเพื่อเป็นหนึ่งถึงจุดหมาย
    	หนึ่งเหรียญทองนักชกไทยไว้ลวดลาย
    	คือแรงกายแรงใจให้แผ่นดิน
    		" สมรักษ์ "ก้าวถึงจุดฝันเพราะฟันฝ่า
    	ดำรงค่ากู้ชื่อไทยไม่สูญสิ้น
    	สยามก้องไตรรงค์โบกโลกยลยิน
    	อัศวินโอลิมปิคพลิกตำนาน
    สำนวนที่ ๒
    
    	"	แสนเบื่อหน่ายการเมืองเรื่องน้ำเน่า
    	พอกพูนเข้าหมักหมมจมปัญหา
    เศรษฐกิจตกต่ำไม่นำพา 
    อีกอาญาความคดีมีทุกวัน 
    		ความหวังของคนไทยมีไหมหนอ 
    	เฝ้าแต่รอผู้ใดให้พลิกผัน 
    	ชุบชิวิตคนไทยให้ดีพลัน 
    	อัศวินคนนั้นใครกันเอย"

    จะเห็นว่าการตีความหมายคนละแง่มุม กลอนก็เปลี่ยนความคิดได้ ลองฝึกตีกระทู้ต่อไปนี้
    เชือกผูกรองเท้า ประตู เครื่องแบบโจร บ่วง บันไดชีวิต ดอกไม้ กระจกเงา ปริญญา มุ้ง ต่างตอบแทน ความหวัง สร้างภาพ กวดวิชา ชีวิตไขลาน วิกฤตศรัทธา
    พระพุทธรูป ข้าวสารเม็ดสุดท้าย เก้าอี้นี้มีเจ้าของ
    อย่างไรลอง mail แนวความคิดมาหาได้ครับ

    วางโครงเรื่องให้เหมาะกับจำนวนบท
    จัดว่าโครงเรื่องจะเป็นอย่างไร บทเกริ่น และบทสรุปอยู่ที่ไหน โดยทั่วไปแล้วกลอนบทแรก และบทสุดท้ายสำคัญมาก เพราะช่วยดึงดูดและสร้างความประทับใจได้มาก ถ้าแต่ง 2-3 บท บทกลางจะเป็นส่วนบรรยาย ต้นเกริ่นนำ ท้ายสรุป การเกริ่นนำไม่ควรมีชื่อหัวข้ออยู่ในนั้นด้วย เพราะจะทำให้กลอนจืด(ไม่มีรสชาด) ยกเว้นเป็นหัวข้อที่กำหนดเป็นวรรคอยู่แล้ว เช่น " เฉลิมพระเกียรติกษัตริย์เจ้า จอมชัย " ก็ให้แต่งโดยนำวรรคนั้นขึ้นต้นได้เลย


  • แนวความที่คิดลึกซึ้ง

  • แนวความคิดลึกซึ้งสามารถฝึกฝนได้ พยายามนำสัจพจน์ หรือหลักธรรมดาของธรรมชาติ มาแทรกด้วย เช่น การมองใบไผ่ที่ร่วงสู่พื้นดินเปรียบเสมือนแม่ให้นมลูกของ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ เป็นต้น

  • ตรวจสอบฉันทลักษณ์และไวยากรณ์ให้ถูกต้อง

  • หลักสำคัญมีอยู่เท่านี้ ที่เหลือต้องอาศัยการพัฒนา และการฝึกฝน มีปัญหาติดต่อเราได้เสมอครับ


  •  

    Contact Webmaster for more information: rajchasadudee@hotmail.com
    Copyright [C] 1999-2000 Rajchasadudee All Rights Reserved.

    home§ introduction § gellery § guest book§ contest § webboard §contact us § today's link


    1