ปีที่ 2 ฉบับที่ 806 ประจำวันจันทร์ที่ 27 เดือนกันยายน พ.ศ. 2542 |
พยายามมองรัฐบาลและบุคลากรผู้มีบทบาทในคณะรัฐมนตรี ด้วยสายตาที่เป็นกลาง
เพื่อให้เห็นภาพกระจ่างยิ่งขึ้น ยากครับ
ขอสารภาพตรงๆ ว่าดูยาก ดูไม่ออก จริงๆ
ย่อภาพ ให้เล็กลง ไม่ต้องพูดถึงการบริหารงานล้มเหลวในหลายๆ เรื่องของรัฐบาล การเงิน การคลัง เศรษฐกิจ ทั้งจุลภาคและมหาภาค สังคม
จะกล่าวเฉพาะแต่ศาสนาเรื่องเดียว และไม่เกี่ยวกับศาสนาอื่นๆ ในเมืองไทย ว่าแต่เรื่องศาสนาพุทธนี่แหละ
จำกัดขอบเขตให้แคบลงไปอีก วัดพระธรรมกาย ตลอดจนทุกชีวิตที่มุ่งสู่การปฏิบัติธรรม ณ อารามแห่งนี้ก็ไม่เกี่ยว หรือเกี่ยวน้อยมาก
แล้วในเมื่อวัดพระธรรมกาย
และคณะบุคคลที่เกี่ยวข้อง
กำลังเป็นจุดขายของสื่อต่างๆ
ยุคเศรษฐกิจตกต่ำ
อย่างรุนแรงเช่นนี้ ถ้าไม่เอ่ยถึงเสียบ้าง จะไม่ตกข่าวไปแล้วหรือ
ช่างหัวมันและช่างหัวเผือก ตกเป็นตกไม่สำคัญเท่ากับเรื่องต่อไปนี้อย่างแน่นอน
เด็กวัดชั้น ม.ต้น ม.อะไรไม่ได้ถาม นั่งเสวนาการเมืองตามประสาเด็ก เสียงนายหนึ่งแว่วเข้าหูว่า
"แกรู้ไหม ข่าวบ้าบอคอแตก อาชญากรรม ฆ่า ข่มขืน แม้กระทั่งข่าวของวัดพระธรรมกาย รัฐบาลเขาชอบ
ชอบเพราะชาวบ้านชาวเมือง
จะได้ลืมปัญหาปากท้อง
ปัญหาน้อยใหญ่
ที่รัฐบาลอาสาเข้ามาแก้
แต่แก้ไม่ไหว
ใจอยากจะครองอำนาจ
ต่อไปอีกนานๆ พอมีข่าวอื่นมากลบ จึงแฮปปี้กันถ้วนหน้า วัดพระธรรมกาย คณะบุคคลที่เกี่ยวข้อง
ตกเป็นข่าวมา ร่วมปี
สื่อขย่มข่าวทางด้านลบ
มาตลอด รัฐบาลนี้พอใจมาก"
แหมโว้ย เด็กเกิดเมื่อวานซืน ขนรักแร้ยังไม่แพลมดี ตีโวหารน่าฟัง วันหนึ่งข้างหน้าไอ้หนู่นี่ มันต้องเป็นนักการเมืองคุณภาพของไทยอย่างแน่นอน
รักษาเนื้อรักษาตัวให้ดีได้หนูเอ๋ย นายกชวนของเราคนนี้ ก็เคยผ่านสถาบันศิษย์วัดมาก่อน วันหนึ่งข้างหน้า หากโชคดีได้เป็นนายกฯ ขึ้นมากจริงๆ
อย่าลืมเรื่องการสวดมนต์
ไหว้พระ ก่อนนอน ท่องศีลห้าให้ขึ้นใจ และเรียนรู้การบริหารพระศาสนา ของคระสงฆ์ระดับล่างไปจนถึงระดับบน เป็น มส. ให้ถ่องแท้ เพราะเราเป็นเด็กวัดมาก่อน แล้วดันเกิดดวงดี ได้เป็นนายกฯ จำเป็นจะต้องรู้จึงจะถูกต้อง
เรื่องพระเถระผู้ใหญ่ 2 รูป รูปแรกคือ พระพรหมโมลี เจ้าอาวาสวัดยานนาวา เป็นเจ้าคณะภาค 1 และเป็นกรรมการมส. อยู่ในตำแหน่งบริหารกิจการพระศาสนา
สมณศักดิ์ หาก
เลื่อนต่อไปสูงขึ้น
เป็นชั้นสมเด็จ
ท่านฟ้องกระทาชายนายหนึ่ง
เป็นเซียนพระเครื่อง หรือพุทธพาณิชย์อะไรทำนองนั้น
อีกรูปหนึ่ง เป็นพระเถระผู้ใหญ่ ขวัญใจช่างภาพ เอ๊ย! สื่อมวลชนทุกแขนง นักการเมืองบางคน นักเคลื่อนไหวบางกลุ่ม เช่น ส.ศิวรักษ์ เสฐียรพงษ์ เจิมศักดิ์ และวรัญชัย โชคชนะ เป็นต้น ก็พระธรรมปิฎกนั่นไง สมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นธรรม รองลงมาจากพระพรหมโมลี ท่านเป็นพระนักวิชาการ นักปริยัติ เรื่องคอมพิวเตอร์เก่งมาก
ท่านกระทำตรงข้าม
กับพระพรหมโมลี คือท่านประกาศว่า ท่านเป็นพระ จะไม่เป็นโจทก์ฟ้องโยมให้เรื่องรกรุงรังศาล
แต่ท่านเจ้าคุณพระธรรมปิฎก ก็ได้ร่างคำฟ้อง หรือจดหมายเปิดผนึก ถึงนายกฯ ว่า ท่านถูกใส่ร้ายป้ายสีจากผู้ไม่หวัดี (รวมทั้งพิมพ์ไทย) ใส่สีตีไข่จนท่านมัวหมอง
ขอให้รัฐบาล รับผิดชอบ อย่านิ่งดูดาย เร่งตรวจสอบ
จดหมายเปิดผนึกฉบับนี้ ดังเปรี้ยงปร้างยิ่งกว่าเสียงฟ้าผ่า มีการนำเสนอขอความเห็นใจผ่านสื่อทุกสื่อ
ไม่ถึง 24 ชม. ให้อธิบดีกรมการศาสนา รมต.กระทรวงศึกษาธิการ รวมถึงคุณชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี เข้าไปพนมมือแต้ ต่อหน้าพระธรรมปิฎก ออกข่าวทั้งทางทีวี วิทยุ
และ หนังสือพิมพ์ ตามเคย รับอาสาจัดการให้ตามประสงค์ ท่านเจ้าคุณพระธรรมปิฎก
นายกรัฐมนตรี นักการเมืองท่านอื่นๆ รวมทั้งหน่วยงานรัฐที่จะต้องปฏิบัติตามบัญชา ล้วนแต่งานล้นมือ แต่ไม่เป็นไร ชื่อเสียงของพระธรรมปิฎกจะมัวหมองสำคัญกว่า
ต้องรีบ
จัดการสั่งการโดยเร็ว วันนี้ เดี๋ยวนี้
อ้อ! ลืมไป อขความกรุณาอย่าเลือกปฏิบัติ ไอ้แค่จะไปสะกิดหลัง ดร.เบญจ์ บาระกุล และคนในพิมพ์ไทยท่านอื่นๆ ให้มาจับเข่าคุยกันนั้นไม่พอ
ขอให้อาราธนาท่าน เจ้าคุณพระ
ธรรมปิฎก พร้อมกับหอบตำราที่ถูกกล่าวหาว่าท่านเขียนเพี้ยน ติดมือมาด้วย
อย่าลืมเป็นอันขาด หนึ่ง งานนี้สติปัญญาคนในรัฐมีไม่เพียงพอ ต้องตั้งคณะกรรมการระดับชาติขึ้นมาตรวจสอบ แบบสังคายนาเลยทีเดียว
อย่าลืมเป็นอันขาด สอง คณะกรรมการใหญ่ชุดนี้ มีอำนาจตรวจสอบไปถึง การเกิดวิกฤตศาสนา คราวนี้ มาตั้งแต่ต้น มูลเหตุที่ทำให้เกิดผู้รับแผนไปปฏิบัติการ
ตลอดจนถึงการ กล่าวล่วงอำนาจ ศักดิ์ศรีและบารมีของพระเถระในมส. โดยสื่อบางสื่อ และบางคณะบุคคลจนถึงให้พระศาสนาตกต่ำ เสียหาย เป็นประวัติการณ์ ชนิดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน เพิ่งจะมีก็รัฐบาลคณชวน หลีกภัย นี่แหละ
อย่าลืมเป็นอันขาด สาม องค์พระประมุขสงฆ์ อาพาธมาตลอด แต่มีการออกพระลิขิตติดกันออกมาถี่ๆ นั้นเป็นพระเมตตาของพระองค์ แต่ก็มีบุคคลบางกลุ่มแคลงใจอยู่ไม่รู้หาย ติดขัด ตรงกำแพงกฎหมาย ไม่กล้าแสดงออกมากไปกว่านี้ จึงต้องตรวจสอบด้วย เพื่อส่งเสริมพระบารมีของพระองค์ให้สูงส่ง
ก่อนจบวันนี้ ก็อยากจะบอกว่า ท่านเจ้าคุณพระธรรมปิฎก ไม่เป็นโจทก์ฟ้องใครๆ นั้น เป็นการทรงไว้ซึ่งเมตตาธรรม ต้องขอร่วมอนุโมทนาสาธุกับท่น ขืนท่านฟ้องเมื่อไหร่
ไม่เหมาะ ไม่ควรอย่างยิ่ง เพราะเป็นเรื่องส่วนตัวของท่านรูปเดียว ใครๆ ในผืนแผ่นดินนี้ ถูกใส่ร้ายป้ายสีกันมาแล้วทั้งนั้น
ดีที่ท่านเจ้าคุณไม่ถูกสึกด้วย
ปลายปากกา อย่างท่านเจ้าคุณบางรูป ทั้งๆ ที่ท่านยังทรงไว้ซึ่งศีล 227 ข้อ ลงฟังปาติโมกข์ทุกวันพระ 15 ค่ำ อบรมกรรมฐานให้คนจำนวนแสน เข้าถึงพระรัตนตรัยอย่างแท้จริง
ย้อนมาที่พระพรหมโมลี เป็นโจทก์ฟ้องฆราวาส นำคดีขึ้นสู่ศาล คนละฐานะกับพระธรรมปิฎก กรณีพระพรหมโมลี ไม่ได้ฟ้องในฐานะละเมิดส่วนบุคคล
ท่านเป็นพระเจ้าหน้าที่
ผู้ปฏิบัติตามหน้าที่ตามกฎหมาย
การฟ้องร้องของท่าน
เป็นการปกป้องอำนาจหน้าที่ ซึ่งท่านปฏิบัติไปตามกฎหมาย ใครจะล่วงละเมิดมิได้ ถ้าหากพระพรหมโมลีถืออุเบกขา ในกรณีนี้ ถือว่าผิด ผิดอย่างมหันต์ การนำคดีขึ้นสู่ศาลของท่าน เป็นการปกป้องพระศาสนา และปฏิบัติตามกฎหมายนั้น ถูกต้องแล้ว ขอนมัสการ
และกล่าวคำว่า สาธุ ดังๆ ขอรับ
โซตัส