ปีที่ 2 ฉบับที่ 806 ประจำวันจันทร์ที่ 27 เดือนกันยายน พ.ศ. 2542

สหัสวรรษที่ 3

จากสงครามจักรวาลในอดีต สู่การประลองฤทธิ์ยุคใหม่

ผมเป็นคนที่ชอบโขนของไทย ชอบเป็นชีวิตจิตใจ เห็นหัวโขนสวยๆ ก็มีความรู้สึกรัก อยากเห็นมีชีวิต และมีอยู่ช่วงหนึ่งในชีวิต ก็ได้เข้าไปร่วมพิธีครอบครูอันศักดิ์สิทธิ์ เพราะจะต้อง สร้างการแสดงเป็น "จินตนฤมิตร" หรือโขนไฮเท็คที่ยิ่งใหญ่ เหมือนจริง โดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ประกอบ ทั้งเลเซอร์และแสงสีสวยงาม ฉากอันยิ่งใหญ่เหมือนจริง

ฉากที่พระนารายณ์ชี้นิ้วเพชระเป็นแสงเลเซอร์ ฉากใต้น้ำที่ทำให้คนดูทุกคนอยู่ใต้น้ำไปด้วยเหมือนจริง มีคลื่นมีฟ้าพริ้มบนศีรษะคนดู ฉากหนุมานแผลงฤทธิ์จนเต็มโรง และหาวเป็น ดาวเป็นเดือนระยิบระยับ ฉากสีดาลุยไฟที่มีไฟพริ้วสวยงาม ฉากหายตัวแล้วแปลงกาย

เมื่อตอนนั้นตั้งใจทำด้วยความรักและสนุกสนาน โดยมีวิทยาลัยนาฏศิลป์ กรมศิลปากรร่วมกันเป็นทีมงานสร้างประวัติศาสตร์ของวงการโขน และถือว่า เป็นความยิ่งใหญ่ ของ ศิลปชั้นสูงของไทย ที่สามารถอวดได้กับชาวโลก ทุกรอบ เมื่อตอนจบชาวต่างประเทศที่มาชม จะลุกขึ้นยืน และปรบมือให้เป็นเวลายาวนาน ตอนที่เราทำ "ฟินาเล่" ปิดการแสดง

เราแสดงอยู่ได้ทุกอาทิตย์ถึงหนึ่งปีเต็ม ได้รางวัลและการยกย่องมากมาย แต่หมดทุนเสียก่อน เพราะการท่องเที่ยวก็ไม่สนับสนุน วงการทัวร์ก็ไม่สนับสนุน เพราะอยากพาฝรั่ง ไป พัฒน์พงษ์ ไปโรงนวดและดูกระเทยโชว์มากกว่า ก็เลยหยุดพักแล้วตั้งใจว่า มีกำลังเมื่อไรก็จะกลับมาทำอีก

ในช่วงนั้นผมต้องใช้เวลากว่า 3 ปี ในการศึกษาเรื่องรามเกียรติ์ หรือรามายณะ ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของเรื่องราวสงครามจักรวาล ต้องศึกษาสงครามมหาภารตะยุทธ

มีอยู่วันหนึ่ง หลวงพ่อทัตตชีโว เรียกไปบอกว่า รู้หรือเปล่าว่า รามเกียรติ์นี่น่ะ เป็นเรื่องจริงนะ ผมก็ตกใจเพราะไม่เคยรู้มาก่อนเลย แล้วท่านก็เล่าว่า สงครามระหว่าง เทวดากับยักษ์ นั้น สู้กันมาตั้งแต่เกิดจักรวาลแล้ว มีการทำสัญญาสงบศึกกันหลายครั้ง แล้วก็สู้กันอีก ตอนนี้ก็ยังไม่เลิก แต่มันเปลี่ยนรูปแบบไปตามยุคตามสมัย ที่มนุษย์เข้าใจ และสร้างจินตนา การ เอาเอง

เมื่อวันครูธรรมกาย ผมต้องเอาต้นฉบับที่บันทึกคำพูดหลวงพ่อวัดปากน้ำท่านสอน มานั่งอ่านอยู่หลายเล่ม ในระหว่างที่อ่านไป ก็ทำจิตให้ว่างแล้วคิดตามไป คำพูดของท่าน มา สะดุดใจเรื่อง สงครามประลองฤทธ์ ระหว่างฝ่ายขาวกับฝ่ายดำ ซึ่งท่านเรียกว่า มาร

ตอนหนึ่งที่ท่านเล่าว่า "เราจับสายธรรมะเสีย เขาไม่รบกัน เก็บสมบัติให้หมด เก็บอาวุธให้หมดตามจุด เขาก็ไม่รบกัน กวดกันอย่างนี้ 25 ปีแล้ว แยกพระ แยกมาร ไม่ให้ปนกัน ไม่ให้ กระทบกัน ต่างฝ่ายต่างเป็นสุข จะให้สัญญาไม่รังแกกัน ถ้าไม่ยอมก็เก็บฤทธิ์เสีย ที่ไม่ตกลงกัน เพราะเขาลองฤทธิ์กัน"

ครับ มิน่า สงครามระหว่างพระกับมาร ถึงได้ยืดเยื้อ เพราะต่างฝ่ายต่างก็ส่งกองทัพลงมาสู้กัน สู้บนสวรรค์ไม่พอ ยังตามมาประลองฤทธิ์กันบนพื้นพิภพ สู้กันเห็นๆ ก็ยังไม่พอ ยังสู้กัน ชนิดไม่เห็น คือยังถูกเสกไปให้สู้อยู่ในตัวเรานี้เองอีกแหละ เพราะตัวเรานี้ ก็คือจักรวาลที่ยิ่งใหญ่ หลายครั้งก็เกิดสงครามจักรวาลในตัวเราเองนี่แหละ ระหว่างฝ่ายขาวฝ่ายดำ จิตที่จะจูงไปให้ชั่วกับจิตที่จะให้จูงใจไปฝ่ายดี

จนในที่สุด ต้องทำสงครามสงบศึก อย่างที่หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านใช้คำว่า หยุดเป็นตัวสำเร็จ ถ้าเราหยุด "ใจ" ของเราได้เมื่อไร ไม่คิด ไม่นึก ก็เท่ากับเราทำสัญญาสงบศึก ใน จักรวาลน้อยๆ ของเรา จากนั้นวิชาจักรวาลก็จะพรั่งพรู ทำให้เรารู้ที่มาที่ไปของมนุษย์ของชีวิตที่เกิดมา ว่าเราเกิดมาทำไม และจะไปไหน

แต่มันยากตรงนี้แหละ แค่หยุดนี่แหละที่เราทำไม่ได้ เพราะใจของมนุษย์มันหลุกหลิก และวิ่งเร็วกวาปีแสง ยิ่งจับให้มันหยุด มันก็ยิ่งหลุกหลิก เหมือนเห้งเจียออกฤทธิ์ เหมือนหนุมาน ที่เผลอแพล็บเดียวก็ไปอยู่ขอบจักรวาลเสียแล้ว

แต่คนที่นั่งสมาธิเก่ง ทำได้ดี เด็กน้อยบางคนเพียง 5 นาทีใจก็หยุดสนิทยิ่งกว่าเบรคติด เอ บี เอส แล้วก็เห็นแสงสว่าง แล้วก็พรั่งพรู สู่ความรู้ใหม่ที่ผู้ใหญ่เองนั่งแทบตาย ยังมืดตื้ดตื๋อ เช่นผมเป็นต้น ตอนนี้ก็เอาแค่ได้ความสงบ กับความสบายใจ แล้วก็นั่งสู้ต่อไปครับ

เมื่อตอนที่ทำโขนอยู่ ผมได้พบกับบุคคลสำคัญในวงการโขนมากมาย ได้ความรู้ได้คำแนะนำเพิ่มเติมเยอะ เช่น ม.ล.ปิ่น มาลากุล ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในรุ่นต้นแบบ ซึ่งวันที่ท่านไปดู ท่านยังมีชีวิตอยู่ ต้องนั่งรถเข็น มีคุณหญิงของท่านพาไปชม ท่านให้กำลังใจว่า ดีมาก ไม่นึกว่าคนไทยจะทำได้อย่างนี้ ต้องเอาไปแสดงให้ยิ่งใหญ่ทั่วโลกเลยนะ ผมก็กราบท่าน 

แต่มีภาคพิสดารมากกว่านั้น มีอยู่วันหนึ่ง ผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง กระซิบถามผมว่า เคยได้ยินเรื่องยักษ์ตัวสุดท้ายในโลกไหม ผมก็บอกว่า ไม่เคยได้ยินครับ ท่านก็เล่าดังนี้ วันหนึ่งหลังจาก ที่พระรามปราบยักษ์จนสิ้นหมดไม่เหลือแล้ว ก็เรียกพิเภกมาถามว่า เออ.. ท่านพิเภกลองจับยามดูซิว่า ตอนนี้ยักษ์ในโลกนั้นหมดแล้วหรือยัง

ท่านพิเภกก็จับยามดู แล้วก็บอกว่า ยังพระเจ้าข้า ยังเหลืออีกตนหนึ่ง เป็นตนสุดท้าย พระรามก็ถามว่า แล้วอยู่ที่ไหนล่ะ พิเภกก็ทูลว่า ให้พระองค์อธิษฐานแล้วแผลงศรไป ก็จะไปถึง เอง ความที่พิเภกอยู่กับพระรามจนลืมไปว่า ตัวเองเป็นยักษ์ หรือจะถึงเวลาชะตาขาด ที่เจ้าตัวรู้แล้ว ก็ไม่ทราบ

ลูกศรพระรามก็วิ่งออกไปแล้วก็กลับมาถูกพิเภกตาย ยักษ์ตนสุดท้ายก็เลยหมดโลกตั้งแต่บัดนั้น ผมฟังแล้วก็หัวเราะ บอกสนุกดี นี่ท่านไปเอามาจากไหน ผมไม่เคยได้ยินเลย คนเล่า ก็บอกว่า ยัง อย่านึกว่าสงครามจะจบนะ นี่แหละก็คือ จุดเริ่มต้นของสงครามจักรวาลตอนใหม่ ที่มันยุ่งกว่าเก่า เพราะจากนั้นเป็นต้นมา พวกมารก็พกความแค้น แล้วก็บอกมนุษย์ ว่า ดีละต่อไปนี้ เจ้าจะไม่เห็นตัวเราอีกเลย เพราะเราจะไม่มีรูปร่าง และจะแทรกเข้าไปอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน เพื่อสู้กับเจ้าอีก จนสิ้นจักรวาล ถ้าเจ้าจะฆ่าเราก็ต้องฆ่าในตัวเจ้า ถ้า เจ้าแพ้ ข้าก็จะเป็นใหญ่ในตัวเจ้า

แล้วยักษ์ทั้งหมดก็หายตัวไปซ่อนอยู่ในใจมนุษย์ทุกคนตั้งแต่นั้น มิน่าเล่า หลวงพ่อวัดปากน้ำจึงใช้คำว่า "ตัดมาร ประหารกิเลส" สนุกไหมครับ พรุ่งนี้ต่อ.

สิงห์ขาว


[หน้าหลัก][หน้า1][สหัสวรรษ][วิวาทะ][ปุจฉา]

1