ปีที่ 2 ฉบับที่ 806 ประจำวันจันทร์ที่ 27 เดือนกันยายน พ.ศ. 2542

หน้า 1

ฟ้องนิคหกรรม ธรรมปิฎก 2 ข้อหาหนัก
"ธัมมชโย" สอนศิษย์ เชื่อในกฎแห่งกรรม
"นวย" จวกสื่อล้มปชป.

ชาวพุทธยื่นฟ้องนิคหกรรม "พระธรรมปิฎก" 2 ข้อหาหนัก ข้อหาแรก ใช้คำสอนคริสต์ปลอมปนในพระธรรมวินัย ข้อหาที่สอง ยกตนเหนือพระอรหันต์ เจ้าคณะจังหวัดนครปฐม รับไว้ พิจารณาเรียบร้อยแล้ว ด้านพระธัมมชโย เทศน์เรื่องฟ้าผ่าเป็นเรื่องกฎแห่งกรรม ไม่ใช่อาเพศ ตามที่สื่อมวลชนตีข่าว แนะนำสานุศิษย์เร่งปฏิบัติธรรม ลดละกิเลส ส่วนพ่อตาแม่ยาย คนเจ็บ ยืนยันศรัทธาธรรมกายจนกว่าชีวิตจะหาไม่ เชื่อมั่นในกฏแห่งกรรม ด้าน "นายหัวนวย" โผล่ที่นครปฐม โยงมั่วอ้างถูกสื่อโจมตี เพราะต้องการล้มล้างพรรคประชาธิปัตย์ คนละเรื่องเดียวกัน ส่วน "มหาบุญเถิง" ฟันธง พระทั้งประเทศ กราบไหว้ได้แค่ 2 องค์ คือสมเด็จพระสังฆราช และพระธรรมปิฎก เลยเจอพระที่ร่วมงานเสวนาประท้วง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวานนี้ (26ก.ย.)ที่สภาธรรมกายสากล พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (พระธัมมชโย) ได้เทศน์ให้เหล่ากัลยาณมิตร ที่ไปทำบุญวันอาทิตย์ตามปกติฟังว่า เรื่องเมื่อ วันศุกร์ที่ 24 ก.ย.ที่ผ่านมา เป็นวันที่หลวงพ่อวัดปากน้ำ (สด จนฺทสโร) ได้ค้นพบวิชชาธรรมกายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กลับคืนมาสู่โลก

มนุษย์ทุกคนมีทุกข์
ขึ้นชื่อว่า มนุษย์แล้ว ล้วนแต่เป็นทุกข์ด้วยกันทั้งสิ้น เมื่อมนุษย์มีทุกข์ ก็อยากได้ที่พึ่งที่เที่ยงแท้ถาวร เมื่อไม่รู้ว่า ที่พึ่งที่แท้จริงเป็นอย่างไร ต่างก็ตั้งสมมติฐานนึกคิด คาดเดากันไป ตามสติปัญญา ตามความรู้ของตัวที่ยังไม่สมบูรณ์ บางคนก็บอกว่า ที่พึ่งอยู่ที่ต้นไม้ใหญ่ บางคนก็อยู่ที่จอมปลวก บางคนก็กราบไหว้เต่า บางคนก็บอกว่า อยู่ที่ดวงจันทร์ แต่พอมี คนไปเหยียบดวงจันทร์ ก็เปลี่ยนใหม่ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ

เมื่อพูดถึงที่พึ่ง ใครๆ ไปไม่ถึง ไม่รู้ว่า อยู่ตรงไหน ก็สมมติเอาว่า ตรงนั้นแหละ แล้วก็สร้างสิ่งต่างๆ กันขึ้นมา แม้แต่มนุษย์ก็สร้างตัวตนของตนเองขึ้นมา เพื่อให้มนุษย์รักตัว แล้วก็ ทดสอบกันอยู่เรื่อยๆ ว่า รักจริงหรือเปล่า ถ้ารักจริงก็จะอำนวยพรให้ประสบความสำเร็จในชีวิต ถ้ารักไม่จริงก็โกรธขุ่นมัว ที่พึ่งนั้น ก็ยังมีกิเลส มีรัก มีชัง มีอคติอยู่ นี่แหละเค้า ก็ตั้ง สมมติฐานกันอยู่ตรงโน้น

ทีนี้ พระพุทธเจ้าของเรา ไม่อย่างนั้น ท่านบอกว่า อยู่ในตัวของทุกคน ที่พึ่งต้องมีคุณลักษณะเป็นอมตะ คือ เป็นนิจจัง และเป็นแหล่งกำเนิดแห่งความสุขสมบูรณ์ แล้วต้องเป็น อิสระ จากความโลภ โกรธ หลง อาสวะกิเลส ไม่มีอะไรไปบังคับบัญชาได้ เป็นตัวตนที่แท้จริง เป็นตัวเป็นต้น ไม่มีอคติ บริสุทธิ์ล้วนๆ มีปัญญาไม่มีที่สุด มีแสงสว่างไม่มีที่สิ้นสุด มีมหา กรุณาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย และก็มีอยู่แล้ว ในตัวคือ ธรรมกายนั่นเอง

แม้ว่า ข้างนอกจะแตกต่างกันด้วย ภาษา ผิวพรรณ ชนชั้น ขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมก็ตาม แต่ข้างในเหมือนกันคือ ธรรมกาย ที่พึ่งจะต้องมีลักษณะที่เหมือนกัน เหมือน เป็นพิมพ์เดียวกัน ธรรมกาย คือ กายทั้งก้อน ที่ประกอบไปด้วยความบริสุทธิ์ล้วนๆ มีความรอบรู้ และอานุภาพไม่มีประมาณ

ธรรมกาย เหลือแค่ในคัมภีร์
หลังจากที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปได้ 500 ปี คำว่า ธรรมกาย ก็เหลือเพียงอักษรที่จารึกไว้ในคัมภีร์ พระไตรปิฎกของแต่ละนิกาย แล้วก็ไม่มีใครเข้าใจ เกี่ยวกับเรื่องธรรมกาย อย่าง แท้จริง ธรรมกายเลยกลายเป็นธรรมกลายกันไป เพี้ยนกันไป จนกระทั่งวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10 ระยะเวลา 82 ปี ที่ผ่านมา พระมงคลเทพมุนี หลวงพ่อวัดปากน้ำ ท่านได้ไปพบ และนำกลับมาเผยแผ่อีกครั้งหนึ่ง และปีนี้ ตรงกับวันศุกร์ที่ 24 ก.ย.ที่ผ่านมา 

ในวันนั้น เรานั่งธรรมะกันตอนเช้า ถึงหมู่คณะเรามีคนมาก แต่ก็เหมือนมีคนเดียว สงบเงียบตั้งใจมาปฏิบัติธรรมกัน แสวงหาความจริงของชีวิต อย่างแท้จริงทีเดียว จนกระทั่ง ภาคบ่ายได้มีการประกอบพิธีสถาปนาทีเดียว จนกระทั่ง ภาคบ่ายได้มีการประกอบพิธีสถาปนาตัวแทนของพวกเรา ไปเผยแพร่ธรรมะ ต่อชาวต่างประเทศ เพราะเขาใช้ภาษา เดียวกัน

ทั้งนี้ เพื่อให้วิชชาธรรมกายเป็นเหมือนปลาว่ายไปสู่ชาวโลก ชาวต่างประเทศ ที่ 70% ของโลก ใช้ภาษาอังกฤษ เราได้ประกอบพิธียกย่องชื่นชม สนับสนุนท่านเหล่านี้กัน ซึ่งตอนนี้ ในสหรัฐอเมริกา ผู้ที่อยู่ฝ่ายบริหาร บริษัทห้างร้านต่างๆ ขอถวาย "ธรรมบุตร" (บุตรแห่งธรรม) ที่จะเรียนรู้วิชชาธรรมกาย ถึง 50,000 คน ทีเดียว เค้าสนใจศึกษาวิชชาธรรมกาย กันมาก เพราะฉะนั้น เราต้องช่วยกันส่งเสริมธรรมบุตร นำวิชชาออกไปเผยแผ่

จนถึงภาคบ่าย ในช่วงบ่าย 3 โมง หลังจากที่หลวงพ่อได้มอบรูปหล่อหลวงพ่อวัดปากน้ำ รุ่นอัดบารมีไปแล้ว หลวงพ่อสังเกตบนท้องฟ้า เห็นเมฆครึ้ม แล้วคิดอยู่ในใจว่า จะรอให้ มหาเมฆผ่านไปก่อน แล้วจึงค่อยไปประกอบพิธีอธิษฐานจิตกัน หรือว่า จะไปกันในตอนนี้

นักสร้างบารมีไม่กลัวอุปสรรค
อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นว่า อะไรก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการสร้างบารมี จะฝนตก แดดออก จะเกิดอะไรขึ้นก็แล้วแต่ นักสร้างบารมีที่เข้มแข็ง ต้องไม่หวั่นไหวต่ออุปสรรคใดๆ เป็น โอกาสดี ที่จะได้เป็นแบบต้นบุญที่ดีงาม ให้แก่ลูกหลานของเรา ต่อไปในอนาคต ถ้าเส้นทางการสร้างบารมีราบรื่น เราก็ไม่รู้ว่า จะปิติภาคภูมิใจตอนไหน สมมติว่า เราเนรมิต มหาธรรมกายเจดีย์ขึ้นได้ ให้เสร็จภายในวันเดียวอาทิตย์เดียว หลวงพ่อว่า ลูกทุกคนก็ไม่รู้ว่า จะเอาปิติใจมาตอนไหน แต่ถ้าเราลำบากนึกแล้วเราก็ชื่นใจ ภาคภูมิใจ แล้วเล่าให้ลูก หลานฟังในยามชรา อีก 20-30 ปี ข้างหน้า ลูกหลานจะตั้งใจฟังทีเดียว เพราะเขารู้ว่า ต้องเป็นผู้สืบทอดพระพุทธศาสนาต่อไปอีก

ตอนนั้น หลวงพ่ออยู่ที่ บ.คริสเตียนี่ มองผ่านหน้าต่างออกไป เห็นฟ้าเขียวปั๊ด แล้วก็เปรี้ยงลงมา ทำให้ลูกๆ 5 คน ล้มคว่ำลงไป มีคนหนึ่งชื่อคุณคำนึง เอาลูกสาววัย 6 ขวย แบกหลัง แม่ก็เดินอีกซีกหนึ่ง คุณตาเดินตรงกลาง ชื่อคุณจำลอง เป็นผู้นำบุญ เป็นหัวหน้าทีมที่เข้มแข็ง นำครอบครัวมาปฏิบัติธรรมสม่ำเสมอ ไม่ได้ขาดเลย ทำไมฟ้าเลือกบุคคลนี้ให้ที่นี่ ทำไมไม่เป็นสาธารณะ ไม่ทำให้เปรี้ยงๆ ปร้างๆ ที่โน้นที่นี่

ต้องเข้าใจกฎแห่งกรรม
เราก็มาดูในเรื่องกฎแห่งกรรม เราเป็นชาวพุทธ เราต้องเข้าใจเรื่องกฎแห่งกรรม แต่ถ้าไม่เข้าใจ ก็จะเป็นความทุกข์ของนักบุญ คืออาจจะสงสัยว่า เราทำความดี มาเข้าวัด เข้ามา รักษาศีล เจริญภาวนา ทำความดีมาตลอด แม้แต่เดิมทำมาหากิน ขายเหล้าเบียร์ ตอนหลังพอเข้าวัด แล้วรู้ว่า เป็นสิ่งไม่ดีก็เลิก ท่านเข้าใจเรื่องนี้ดี

การที่ฟ้าแล่นมาถึงบุคคลใด จะต้องมีอายตนะ รับส่งกัน หลวงพ่อวัดปากน้ำ และคุณยายอาจารย์เคยพูดว่า มันจะผ่าตรงไหน มันต้องมีอายตนะรับส่งกัน ที่มาในตัวมนุษย์ เพราะ มีอายตนะอยู่ในตัว คือกระแสบาปอกุศลกรรมที่ทำไว้ในชาติก่อนๆ โน้น คนจะเข้าใจเรื่องราวอย่างนี้ได้ ต้องสามารถระลึกชาติหนหลังได้ คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือผู้ที่เข้าถึง ธรรม อย่างหลวงพ่อวัดปากน้ำ ท่านก็เห็นว่า มันมีบาปอกุศลกรรมที่ทำไว้ ตั้งแต่ชาติปางก่อน

ประทุษร้ายผู้บริสุทธิ์ ถูกฟ้าผ่า
ส่วนจะเป็นกรรมอะไรนั้น คุณยายอาจารย์ เคยเล่าให้ฟังว่า กรรมอย่างนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นวจีกรรม เป็นคำพูด ข้อความ ข้อเขียน หรือสาบานไว้ว่า ถ้าหากได้ทำอย่างนี้จริงๆ ขอให้ ฟ้าผ่าตาย กับประเภทติดเตืยนผู้มีศีลมีธรรม ผู้รักษาศีลเจริญภาวนา โดยท่านไม่ประทุษร้ายตอบ หมายความถึงภพชาติในอดีตที่ผ่านมา สิ่งเหล่านี้ จะติดอยู่ในตัว เหมือน ระเบิดเวลา พอถึงเวลาก็จะระเบิดตูมขึ้นมา

โดยปกติธรรมดาฟ้าผ่าตรงไหน จะเป็นคนก็ดี ควายก็ดี ดำเป็นตอตะโกไปแล้ว แต่ทุกท่านยกเว้นผู้ที่อยู่ในโรงพยาบาล (คุณคำนึง) บอกว่า พอฟ้าเปรี้ยงลงมาก็ล้มหลับไปเลย หลวงพ่อมองเห็นเหตุการณ์นั้น ก็สั่งให้เอารถไปส่งสถานพยาบาท และรายงานมาตลอดว่า คุณคำนึงหัวใจหยุดเต้นไปแล้ว 10 นาที หลวงพ่อตามไปดูที่สถานพยาบาล เห็นคนอื่น ที่โดนฟ้าผ่า ยิ้มแย้มแจ่มใสดี ไม่เห็นเป็นอะไรโดยเฉพาะลูกสาววัย 6 ขวบ ที่อยู่บนหลังพ่อ รุ่งขึ้นก็วิ่งเล่นได้

สรุปทุกคนปลอดภัยเหลือคุณคำนึงอยู่คนเดียว ปกติคุณจำลองบอกไม่เคยเข้าวัด แต่ก็ออกอุบายให้ลูกเขยเข้ามาวัด บุญเหล่านี้ เลี้ยงรักษาเอาไว้ ฟ้าผ่าโดนหัวสมองบวมนิดหน่อย ไม่ใช่เรื่องอาเพท เป็นเรื่องกฎแห่งกรรมธรรมดา ซึ่งถ้าใครไปประทุษร้าย ต่อผู้ไม่ประทุษร้าย ไปจ้วงจาบผู้มีธรรม มันก็เป็นอย่างนี้แหละ แต่ตอนที่ยังไม่ประสบ มันก็ไม่เชื่อกฎ แห่ง กรรม มันก็ว่ากันไป จ้วงจาบผู้มีศีลมีธรรม อย่าไปทำนะลูกนะ

ด้านนางชะลอ จูงทรัพย์ แม่ยายของนายคำนึง ได้เล่าให้เหล่ากัลยาณมิตรฟัง ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า ในวันเกิดเหตุ พวกตน 8 คน ได้นั่งรถตู้วิ่งอ้อมวัดเข้าไปยัง มหาธรรมกาย เจดีย์ ทางบริษัทคริสเตียนี่ พอดีรถหลวงพ่อทัตตะชีโว เลี้ยวรถเข้าไป พวกตนก็เลี้ยวตามไปด้วย รถพระจอดด้านขวา เราจอด้านซ้าย

หลวงพ่อช่วยด้วย
หลังจากนั้น ก็เดินห่างจากป้อมของบริษัทได้ประมาณ 20 เมตร ถึงบริเวณระหว่างป้อมยามกับแผนกต้อนรับของวัด ได้ยินเสียงดังเปรี๊ยะ ทุกคนล้มนอนลงหมด สามีอยู่ข้างหน้า คำนึงมีลูกสาวขี่หลังอยู่ด้วย พอล้มลงไปข้างหน้า ลูกสาวก็กระเด็นไปทางแม่ เราได้แต่ถามตัวเองว่า เป็นอะไรกันไปหมด เขย่าคนไหนก็นิ่ง ก็เลยร้องตะโกนสุดเสียงว่า "หลวงพ่อ ช่วยด้วย" พอมองไปที่คำนึง เห็นตาเหลือก ปากอ้า จับชีพจรลมหายใจไม่มี สามีของตนคือนายจำลอง และเพื่อนๆ ก็เข้ามาช่วยกันปั้มหัวใจ

ต่อมาเราก็ไปเรียกลูกสาว หนึ่งลุกได้มั้ย ปรากฏว่า ขยับไม่ได้เลย ก็ไปเรียกลูกชาย นุกลุกขึ้นลูก เขาก็ลุกขึ้นมา เพื่อนคนอื่นๆ ก็ลุกขึ้นมา แล้วก็นำส่งศูนย์พยาบาทภายในวัด ส่วน คำนึงที่หนักกว่าเพื่อน ก็นำส่งโรงพยาบาลเอกปทุม กว่าจะออกจากตรงนั้นได้ ใช้เวลานานกว่า 10 นาที

พริบตาเดียวก็จากกัน
"ดิฉันอยากบอกทุกคนว่า ชั่วพริบตาเดียวก็จากกันได้ ทุกคนอย่าประมาท การจากไม่เลือกชนชั้น ทุกคนพร้อมจากกันได้ตลอดเวลา ดังนั้น ก่อนจากกันขอให้ทุกคนสั่งสมบุญ ให้มากๆ ชีวิตเป็นของเราเอง ก็ควรจะเลือกสิ่งดีที่สุดให้กับตนเอง ให้ไปในที่ดีที่สว่าง อยู่ห่างบาปให้ไกลที่สุด เพื่อชีวิตในชาติหน้าต่อไป" นางชะลอกล่าว

นายจำลอง จูงทรัพย์ เล่าว่า แม้แต่ฟ้ายังไม่อาจกั้นตนและครอบครัว ออกจากการสร้างความดี ยืนยันว่า จะไม่เลิกศรัทธาวิชชาธรรมกาย จะรักพระธัมมชโย และวัดต่อไป จนกว่า ชีวิตครอบครัวจะหาไม่

ฟ้องนิคหกรรมพระธรรมปิฎก
ในวันเดียวกัน นายชาญชัย บุษปวนิช อาชีพบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ ได้เข้าพบพระเทพคุณาภาณ์ เจ้าคณะจังหวัดนครปฐม เพื่อฟ้องร้องนิคหกรรม พระธรรมปิฎก (ประยุทธ ปยุตโต) ใน 2 ข้อหา ด้วยกันคือ

ปลอมปนพระธรรมวินัย
1. เจตนาใช้ความหมายของคริสต์ศาสนา แทนความหมายของพุทธศาสนา ซึ่งปรากฏอยู่มากมาย ในหนังสือ "พุทธธรรม" ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 7 มิ.ย. 2541 เช่น
ในหน้า 40 คำว่า 
"กระบวนการรับรู้บริสุทธิ์" ไม่ใช่คำในพระพุทธศาสนา ไม่มีในพระไตรปิฎกบาลีเถรวาท
"กระบวนธรรมแบบเสพเสวยโลก" ไม่ใช่คำในพุทธศาสนา ไม่มีในพระไตรปิฎกบาลีเถรวาท

ในหน้า 70/44-70/46 คำว่า 
"การทำกิจ" และ "นักทำกิจ" ไม่ใช่คำในพุทธศาสนา ไม่มีในพระไตรปิฎก

ซึ่งผู้ถูกกล่าวหาให้ความหมายไว้ว่า การทำกิจคือ ความไม่ประมาทเป็นคุณค่าในระดับ โลกียะ ซึ่งไม่ปรากฏในพระสัทธรรมคำสั่งสอนใด ๆ ในพระสูตรใด

ในหน้า 275 บรรทัดที่ 7 ความว่า 
"ผู้บรรลุอุดมธรรม ไม่ต้องการอะไรในโลกทั้งหมด ย่อมเศร้าโศกเพราะความตาย"

อุดมธรรมความหมายพิลึก 
ตามที่ได้อ้างอิงไว้นั้น เป็นภาษาบาลี อุตฺตมํ ธมฺมํ ซึ่งแปลเป็นไทยว่า ธรรมะอันสูงสุด แต่ผู้ถูกกล่าวหา กลับแปลเป็นภาษาไทย "อุดมธรรม" และเมื่อตรวจสอบในความหมาย ดังกล่าว ของผู้ถูกกล่าวหานั้น ได้พบหลักฐานยืนยันเจตนาจากหนังสือ "อุดมธรรม นำจิตสำนึกไย" เขียนโดยผู้ถูกกล่าวหาในปี 2537 จัดพิมพ์โดยมูลนิธิพุทธธรรม ข้อความใน หนังสือดังกล่าว ก็มิได้กล่าวถึง หรือมีความหมายว่า อุดมธรรม คือความหมายเดียวกันกับพระไตรปิฎก นอกจากจะมีความหมายโดยรวมว่า "ต้องเอื้อเฟื้อเกื้อกูลศาสนาอื่น"

ข้าพเจ้าจึงได้ตรวจสอบคำสอนในศาสนาอื่น และเมื่อตรวจสอบพบคำว่า "อุดมธรรม" เป็นคำในคริสต์ศาสนา ปรากฏเป็นหลักฐาน ในหนังสือ คริสต์ศาสนา โดย เสรี พงษ์พิศ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ผู้ถูกกล่าวหานั้น รู้และเข้าใจ อย่างลึกซึ้งถึงคำว่า "อุดมธรรม" ว่า ต้องการหมายความว่าอย่างไร จึงยกเว้นไม่แปลคำว่า อุตฺตมํ ธมฺมํ ให้ถูกต้องตามความหมาย แห่งพระพุทธศาสนา

พร้อมกันนั้น ผู้ถูกกล่าวหายังเผยแพร่โดยการพูด และจัดพิมพ์หนังสือดังกล่าวสนับสนุนความคิด "อุดมธรรม" ของตน ออกสู่พุทธศาสนิกชนตลอดมาเป็นเวลานาน และก่อให้เกิด ความเข้าใจสับสนในพุทธศาสนิกชนไทยโดยทั่วไป

อุดมธรมสูงกว่านิพพาน
ตัวอย่างเช่น ในวันที่ 30 ก.ค. 2542 ตึกรัฐสภา ได้มีการประชุมเสวนาเรื่อง "พระราชบัญญัติคณะสงฆ์" ซึ่งจัดโดยคณะกรรมาธิการการศาสนาฯ ได้แสดงภาพผังการปกครองสงฆ์ ใน พ.ร.บ.สงฆ์ฉบับใหม่ ปรากฏคำว่า อุดมธรรม มีความหมายว่า นิพพาน ซึ่งอยู่ในวงเล็บ เป็นคำอธิบายคำว่า อุดมธรรม เท่านั้น เมื่อตรวจสอบแล้ว ไม่ปรากฏ มีศัพท์หรือ ไวพจน์ คำว่า อุดมธรรม หมายถึง นิพพานในพระไตรปิฎกบาลีเถรวาททั้งสิ้น เนื่องจากคำว่า อุดมธรรม เป็นคำของคริสต์ศาสนา

ดังนั้น การนำเอาคำของศาสนาอื่น ปลอมปนแทรกในความหมายส่วนสำคัญของพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะส่วนที่หมายถึง "ธรรมอันสูงสุด" ให้เปลี่ยนไปเช่นนี้ จึงจัดเป็นเจตนา ที่จะบิดเบือน พระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จัดเป็นสัทธรรมปฏิรูป อันจัดเป็นภัยของพระพุทธศาสนา เป็นอย่างยิ่ง

ยกตนเหนืออรหันต์
2. ยกตนเหนือกว่าพระอรหันต์
นอกจากจะเป็ฯการปลอมปนพระธรรมคำสั่งสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้ผิดเพี้ยนไปจากพระไตรปิฎกบาลี อันใช้เป็นหลักของสงฆ์เถรวาท และพุทธบริษัท ซึ่งเป็นการ ไม่สมควรเป็นอย่างยิ่ง สำหรับการเขียนเผยแพร่ข้อความเช่นนั้น โดยผู้ถูกกล่าวหายังเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา เป็นการเขียนโดยอาศัยข้อความของศาสนาคริสต์ อย่าง แท้จริง และเพื่อจุดประสงค์เปลี่ยนแปลงความเชื่อ และศรัทธาในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอริยบุคคล ตามที่ปรากฏเป็นพระสูตรในพระไตรปิฎก ซึ่งพระอรหันต์นั้น มีปัญญาอันยิ่ง รู้แจ้งแทนตลอดโลกวิสัยในวัฏสงสาร อันเป็นปลอมปนพระสัทธรรม

พระเรียนเก่งเจ๋งกว่าอรหันต์
ความปรากฏในหนังสือพุทธธรรมหน้า 850 ว่า 
"กัลยาณมิตรนั้น ถ้าให้ดี ควรได้พระพุทธเจ้า ถ้าไม่ได้ก็หาพระอรหันต พระอริยบุคคล ระดับรองลงมา ท่านผู้ได้ฌาน ผู้ทรงพระไตรปิฎก จนถึงท่านที่เป็นพหูสูต ลดหลั่นลงมา ท่านว่า พระปุถุชนที่เป็นพหูสูต บางทีก็สอนได้ดีกว่า พระอรหันต์ที่ไม่เป็นพหูสูตเสียอีก" จึงเห็นได้ว่า ผู้ถูกกล่าวหา มีเจตนาปลอมปน บิดเบือนพระสัทธรรมคำสั่งสอน ของพระสัมมา สัมพุทธเจ้า อย่างต่อเนื่องเป็นอาจิณ นับเป็นการกระทำผิดพระธรรมวินัย อย่างร้ายแรง คือการปรับแปลงพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธศาสนา ก่อให้เกิดความเสียหาย แก่ ข้าพเจ้าและพุทธบริษัท ให้พุทธศาสนิกชน สับสน และเสื่อมศรัทธาในพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ อันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา

รับพิจารณานิคหกรรม
ผู้สื่อข่าว รายงานว่า ภายหลังจากที่เจ้าคณะจังหวัด นครปฐม รับเรื่องนิคหกรรมไว้พิจารณาแล้ว จึงได้สอบถาม นายชาญชัยว่า ทำไมถึงยื่นฟ้องพระ นายชาญชัยกล่าวตอบว่า พระธรรมปิฎกบิดเบือนพระไตรปิฎก โดยเฉพาะ การนำคำว่า "อุดมธรรม" ซึ่งเป็นคำทางคริสต์ศาสนา มาเจือปนในหนังสือพุทธธรรม ซึ่งเป็นการกระทำอันร้ายแรงต่อ พระพุทธ ศาสนา ตนในฐานะชาวพุทธ จึงอยู่นิ่งเฉยไม่ได้ พระเทพคุณาภรณ์ ก็รับฟังเหตุผล และรับคำร้องไปพิจารณา โดยจะนัดให้มาฟังผลการยื่นนิคหกรรมพระธรรมปิฎกในครั้งต่อไป

เมื่อวานนี้ (26ก.ย) คณะสงฆ์จังหวัดนครปฐมร่วมกับมูลนิธิธรรมอิสระ จัดสัมมนาหัวข้อ พ.ร.บ.สงฆ์ฉบับใหม่ เพื่อถวายความรู้ แด่พระสังฆาธิการในจังหวัดนครปฐม ที่วัดอ้อน้อย อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม มีวิทยากรคือ พระมหาบุญถึง ชุตินธโร ผู้ช่วยอธิการบดี ฝ่ายกิจการนิสิต มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ ราชวิทยาลัย นายอำนวย สุวรรณคีรี ประธาน คณะกรรมาธิการศาสนาฯ และ นายเดโช สวนานนท์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีพระเถระเข้าร่วมสัมมนา ประมาณ 100 รูป "นวย" จวกสื่อจ้องล้มปชป.

นายอำนวย กล่าวว่า การที่คนออกมาต่อต้าน และตีความร่าง พ.ร.บ.สงฆ์ฉบับใหม่ เนื่องจากต้องการล้มรัฐบาล เพื่อปลุกระดมพระสงฆ์ทั่วประเทศ ให้เกลียดชัด พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งในความจริงแล้ว ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ เป็นเพียงตุ๊กตา หรือเป็นแนวทางเพื่อจะทำสังฆาพิจารณ์ รับฟังความคิดเห็นจากพระสงฆ์ทั่วประเทศ ยังไม่ถึงขั้นที่จะนำมาใช้

"น.ส.พ.ลงข่าวคลาดเคลื่อน หาว่า ผมแสดงความก้าวร้าวต่อสงฆ์ ที่ผ่านมาทั้งตัวผม และพระธรรมปิฎก ต่างถูกใส่ร้าย" นายอำนวยกล่าว

พระมหาบุญถึง ชุตินธโร กล่าวว่า พ.ร.บ.สงฆ์ฉบับใหม่ ถือว่า เป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องนำมาใช้ตนเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง ขณะนี้ทราบว่า พระบางส่วนเข้าใจว่า ร่าง พ.ร.บ.สงฆ์ฉบับนี้ ตกไปแล้ว เนื่องจากกรมการศาสนาแจ้งยกเลิก ซึ่งเป็นการปล่อยข่าวให้พระเข้าใจผิด

เหลือพระน่ากราบแค่ 2 องค์
อีกเรื่องที่อยากจะเรียนสหธรรมิกทุกรูปคือ พระต้องออกมาช่วยกันปกป้องพระธรรมปิฎก ท่านเป็นพระที่ดีมาก ขนาดอาพาธยังอุตส่าห์ลุกขึ้นมา เขียนหนังสือกรณีธรรมกาย เพื่อ พิสูจน์ให้เห็นว่า ขณะนี้ พระในประเทศไทยที่ตนกราบไหว้ได้ มีเพียง 2 องค์ คือ สมเด็จพระสังฆราช และพระธรรมปิฎก เมื่อพระมหาบุญถึงกล่าวประโยคนี้ ทำให้พระเถระ ซึ่งนั่ง อยู่ใน ห้องประชุม ลุกขึ้นมาถามว่า ที่พูดเช่นนี้หมายความว่า อย่างไร แต่พระมหาบุญถึงไม่ยอมตอบคำถาม

นายเดโช กล่าวว่า ตนเป็นผู้มีส่วนร่วมในการร่าง พ.ร.บ.สงฆ์ฉบับนี้ ตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็นส.ส. โดยความเห็นส่วนตัว ไม่เห็นด้วยกับการใช้ชื่อว่า "พ.ร.บ.อุปถัมภ์และคุ้มครอง พระพุทธศาสนา" เพราะเจตนาที่แท้จริง ต้องการยกย่องเชิดชู ไม่ใช่การคุ้มครอง

เรื่อง พ.ร.บ.สงฆ์ ควรให้พระสงฆ์จัดทำ "สังฆาพิจารณ์" กันก่อน ตนเห็นด้วยที่จะต้องปรับปรุงกฎหมาย แต่ไม่เห็นด้วย หากจะต้องรื้อเปลี่ยนแปลงทั้งหมด


[หน้าหลัก][หน้า1][สหัสวรรษ][วิวาทะ][ปุจฉา]

1