ปีที่ 2 ฉบับที่ 802 ประจำวันพฤหัสบดีที่ 23 เดือนกันยายน พ.ศ. 2542 |
อ้อ เป็นอย่างนี้เอง อวิชชา ซึ่งแปลว่า โง่ หลง ทื่อ มู่ทู่ ดื้อตาใส หรือแปลเป็นศัพท์แสงว่า ไม่รู้ โลกนี้ (มนุษย์) ถูกห่อหุ้มด้วยอวิชชา หนาเทอะทะ ยากที่จะกระเทาะให้ทะลุทะลวง
น้อยคนนักที่จะกำจัดม่านอวิชชาลงได้
ท่านผู้รู้บางท่านบอกว่า อวิชชาคือการปล่อยชีวิตให้ฟูฟ่องไปตามกระแสโลก ฟังดูก็เข้าทีดี
หากจะให้ความหมายกระชับเข้ามาอีก ก็คงจะหมายถึงการดำเนินชีวิตไปตามโลกาภิวัตน์
แล้วอะไรกันล่ะ คือโลกาภิวัตน์
มันง่ายที่จะพูด แต่ยากที่จะอธิบายให้เข้าใจ
เอางี้ก็แล้วกัน
หนังสือพิมพ์ที่ตีพิมพ์ขายกันในเมืองไทยนี่แหละ แย่งกันเสนอข่าว เท็จบ้าง จริงบ้าง ไม่สืบสาวราวเรื่องถึงต้นตอให้แน่ชัดค่อยเสนอข่าว แต่เอาเร็วเข้าไว้ ผิดถูกว่ากันทีหลัง
หรือ ไม่สนใจ เลยก็ยังมี ที่ร้ายที่สุด ทำตัวเป็นพนักงานสอบสวนเสียเอง ข้ามขั้นตอนของอัยการ กระโดดเนตัวศาลพิพากษาเสร็จสรรพ
ถามว่า ไอ้คนพวกนี้มีจรรยาบรรณไหม
ตอบทันทีเลยว่า ไม่มี คนพวกนี้ไร้จรรยาบรรณที่สุดในกระบวนการฐานันดร
ถามต่อไปอีกว่า กฎระเบียบ จรรยาบรรณในการประกอบวิชาชีพหนังสือพิมพ์ไม่มีบ้างเลยหรือ
โอ้ย... มีเป็นกระตั๊ก รู้และรู้ดีกว่าคนนอกวงการเสียอีก เมื่อเขาไม่นำมาใช้ แล้วใครจะไปทำอะไรเขาได้
น่าสงสารเหยื่อหนังสือพิมพ์ ในกรณีที่ผู้หญิงถูกข่มขืน โดยเฉพาะเด็กนักเรียน นำรูปลงตีพิมพ์
ทำทีคาดหนาตาพรางไว้บางๆ แถมด้วยการตั้งนามสมมุติให้อีกต่างหาก จากนั้นก็ชื่อ พ่อ ชื่อแม่ บ้านเลขที่ ทำเลที่ตั้งสถานศึกษา
กรณีเช่นนี้ หากเข้าใจว่า เด็กหญิงเคราะห์ร้ายถูกมนุษย์อัปรีย์
ทำปู้ยี่ปู้ยำ เป็นรายที่หนึ่ง หนังสือพิมพ์เลวๆ ข่มขืนเธอเป็นรายที่สอง นั้นเป็นความเข้าใจผิดถนัด
ต้องเข้าใจไว้เลยว่า เด็กคนนั้นไม่ได้ถูกข่มขืนเฉพาะตัวเธอคนเดียว พ่อแม่ญาติพี่น้องของเธอทั้งบ้านนั้นแหละ พลอยถูกข่มขืนไปอย่างเจ็บปวดไม่แพ้กัน
หนังสือพิมพ์ หรือสิ่งพิมพ์เลวๆ นี่แหละ เป็นต้นตอเป็นสาเหตุที่แท้จริง
กรณีธรรมกายก็เห็นกันชัดอยู่ หนังสือพิมพ์บางฉบับจับสึกเจ้าอาวาสที่เป็นถึงเจ้าคุณ ถอดจีวรออกเหลือแต่ตัวล่อนจ้อน และเรียกเดียรถีย์
หนังสือพิมพ์อีกฉบับเกรงน้อยหน้า จับเจ้าคุณเจ้าอาวาส วัดพระธรรมกายสึกเช่นกัน เรียก นายไชยบูลย์ ไปเลย
อีกฉบับก็ไม่ยอมแพ้ เรียกเจ้าคุณเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย "ไอ้แว่น"
คราวนี้คงจะมองเห็นด้วยอวิชชา หรือตัวโลกาภิวัตน์ ถนัดตามากขึ้น
นี่แหละครับ อวิชชาหรือโลกาภิวัตน์ !
การเสนอข่าวเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาที่ผ่านมา สื่อมวลชนไม่ได้วงเล็กไว้เสียด้วยว่า จะไม่ใช่วิชาการที่ตำช้าดังกล่าวมาเสนอข่าวพระพุทธศาสนา
เราจึงเห็นภาพการณ์ของกรณีธรรมกาย และการแอบอ้างว่า
ทำหน้าที่ปกป้องพระพุทธศาสนา เหมือนอย่างกรณีเด็กหญิงถูกข่มขืนกระนั้น
เขาปกป้องพระพุทธศาสนาด้วยการประณาม ขายความสะใจ ขายความมันส์ อาฆาต ล้างแค้น
เป็นที่น่าเสียใจยิ่ง ที่พระภิกษุสงฆ์บางรูปได้กระโดดลงมาลุยโคลนจนผ้าจีวรแปดเปื้อนไปหมด
เสียดายยิ่งกว่านั้นก็ตรงที่พระที่พูดอยู่ตลอดเวลาว่า พระธรรมวินัยเป็นของสูงส่ง
เป็นตัวแทนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า กลับไม่ยอมปฏิบัติตามพระธรรมวินัย
จ้องแต่จับผิดพระอื่น ก่นประณามอาบัติชั่วหยาบพระที่ต้องอธิกรณ์ ซึ่งคดียังไม่ถึงที่สุดของศาลสงฆ์ และศาลโลก เที่ยวโฆษณาชวนเชื่อต่อพุทธศาสนิกชน
ก็ละเมิดพระธรรมวินัย
เบื้องต้นแล้ว
ไม่เข้าใจจริงๆ ครับว่า พระที่มีพฤติกรรมทำนองนี้ มีหน้าที่เป็นตำรวจที่ปลอมตนเป็นพระออกเดินสายไล่บี้พระหรือไม่
หากเป็นตำรวจพระ หรือที่เรียกกันว่า
พระวิญญาธิการ ก็ควรที่จะนำพระธรรมวินัยมาตัดสิน จึงเป็นเรื่องที่ถูกต้องที่สุด
สัพเพธรรมา อนัตตา แปลความได้ว่า ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา
แต่ไม่มีพระไตรปิฎกฉบับใดเลยระบุว่า
สัพเพธรรมานั้น หรือธรรมทั้งหลายทั้งปวงนั้น มีพระนิพพาน ซึ่งเป็นสิ่งสูงสุดในพระพุทธศาสนาไปรวมไว้ในอนัตตา ที่ตกอยู่ในอำนาจอวิชชา แห่งไตรลักษณ์
หากจะคิดกันอย่างหลักวิชาการตามประสาพระนักวิชาการผู้ชอบท่องโลกกว้างแล้ว
ต้องวงเล็บ หรือขีดเส้นสีแดงว่า
.
พระนิพพานคือ สภาพที่หลุดพ้นจาก
กองกิเลสตัณหาน้อยใหญ่แล้ว เป็นวิสังขาร
สอนกันไปเถิดครับ ว่าที่สุดแห่งพระพุทธศาสนาคือ ความว่างเปล่า อีกหน่อยจะหาคนทำความดีไม่ได้
เพราะไม่รู้จะไปทำลายความดี ทำลายศีล สมาธิ ปัญญา ไปทำไม ถ้าที่สุดต้องเดินไปสู่ทางแห่งความว่างเปล่า อนัตตาไม่มีตัวตนแล้ว
จะตะบันนั่งทับไข่พญานาคให้บรรลุมรรคผล นิพพานไปทำไมล่ะครับ
โซตัส