ปีที่ 2 ฉบับที่ 802 ประจำวันพฤหัสบดีที่ 23 เดือนกันยายน พ.ศ. 2542

สหัสวรรษที่ 3

มนุษย์บนโลกสีน้ำเงินสวยงาม กับความฝันสันติภาพสากล

โลกของเราเมื่อมองจากจักรวาลจะเป็นสีน้ำเงินกลมสวยงาม กลมเหมือนดวงจันทร์ แต่เป็นสีน้ำเงินอมฟ้า มีเมฆขาวประดับประดาประปราย แล้วแต่สภาพอากาศ ที่เป็นสีน้ำเงิน เพราะพื้นที่ส่วนใหญ่ของโลกเป็นมหาสมุทร

มนุษย์อวกาศ จอห์น เกลนน์ บรรยายภาพอันสวยงามนี้วา ภาพที่เขาประทับใจที่สุดในอวกาศ คือโลกของเราเอง โลกที่สวยงามน่าดูน่าชมที่สุด โลกที่เต็มไปด้วยชีวิต และความเป็น อยู่ เต็มไปด้วยน้ำ อากาศหายใจ มีดินแดนเขียวชะอุ่มงดงาม มีหิมะขาวบริสุทธิ์

ไม่น่าเชื่อ ในโลกอันสวยงามนี้ จะเต็มไปด้วยมนุษย์กว่า 6,000 ล้านคน อาศัยอยู่ แบ่งเป็น เชื้อชาติ ผิวพรรณ ลักษณะหน้าตาแตกต่างกันตามพื้นภูมิประเทศและอากาศ แต่สิ่งที่ วีรบุรุษชาวอเมริกันคนนี้พูดไว้ น่าคิดและน่าสนใจอย่างยิ่ง เขากล่าวว่า

ข้าพเจ้ามองเห็นโลกอันเป็นหนึ่งเดียว โลกที่ไม่มีเส้นพรมแดนแบ่งอาณาเขตประเทศ มีแต่แผ่นดินกว้างใหญ่ติดต่อกันตลอด แต่มนุษย์เองที่เขียนเส้นพรมแดน แบ่งทวีป แบ่ง ประเทศ แบ่งรัฐ แบ่งมณฑล แบ่งจังหวัด แบ่งอำเภอ แบ่งตำบล ทำไมเราต้องแบ่งกัน แยกกัน ทำไมเราไม่อยู่ร่วมกัน เป็นเพื่อนบ้าน เป็นเพื่อนร่วมโลก โลกใบเดียวกัน ที่เหมือน ประเทศเดียวกัน

ข้าพเจ้าหวังว่า วันหนึ่งโลกของเรานี้ จะรวมมนุษยชาติให้เป็นหนึ่งได้ในอนาคตอันใกล้นี้

นี่คือความคิดของมนุษย์คนหนึ่ง เมื่อออกไปไกลจากโลกแล้วมองกลับมาด้วยความรัก และคิดถึง คิดถึงสิ่งที่ดีงามในโลก ในขณะที่คนบนโลกบางคน กลับไม่ชื่นชมกับโลกที่เขาอยู่ นอกจากไม่ช่วย สร้างสิ่งที่ดีงาม ความน่าอยู่ให้กับโลก ยังมุ่งร้ายทำลาย ทำให้โลกไม่น่าอยู่ ไม่สวยงาม

มิน่าเล่า ทุกครั้งที่นักบินอวกาศจะกลับบ้าน กลับโลก แค่คิดเขาก็รู้สึกอบอุ่น โลกของเขาเองที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นมีชีวิต มีเวิ้งว้าง เยือกเย็น อ้างว้าง และไร้สิ่งมีชีวิต

ณ วันนี้ เรากำลังยืนอยู่ตรงธรณีประตูที่จะก้าวข้ามไปสู่โลกยุคใหม่ ที่เต็มไปด้วยสันติภาพและสันติสุข เรากำลังอยู่ในช่วงเวลาที่มืดสนิทแห่งรัตติกาล ที่รอเวลารุ่งสาง ที่กำลังจะมา เยือน เรากำลังรออรุณรุ่งและท้องฟ้าเรืองรองด้วยรังสีแห่งความสดใสและความหวัง

โลกวันนี้กำลังจะก้าวพ้นความมืดสนิทของยุคทมิฬที่ปกคลุมโลกสหัสวรรษ หรือหนึ่งพันปีที่ผ่านมา ที่เกิดสงครามโลกที่คร่าชีวิตมนุษย์นับสิบนับร้อยล้านถึงสองครั้ง และทุกคนกำลัง หวั่นกลัวว่า วิทยาการในการทำลายล้าง ของมนุษย์ทุกวันนี้ ที่ก้าวไกลสุด ถ้าเกิดสงครามโลกครั้งที่สามครั้งนี้ ถ้าเอานิวเคลียร์ที่แอบซ่อนกันไว้ มาจุดระเบิดกันทั้งหมด โลกใบนี้แม้ จะไม่แตกเป็นเสียงๆ แต่ชีวิตมนุษย์จะสูญพันธ์ไปไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 

และพลังแห่งการระเบิด จะทำให้เกิดเมฆดำ บดบังอาทิตย์ มิให้ส่องแสงสู่โลก ได้นานเป็นปีๆ ชีวิตของมนุษย์จะกลับไปสู่ยิ่งกว่ายุคหิน และอารยธรรมของโลก ก็จะถูกทำลายลงสิ้น ไม่มีการแบ่งประเทศ แบ่งเผ่าพันธุ์ผิวพรรณกันอีกต่อไป โลกทั้งโลกจะเต็มไปด้วยซากศพ เชื้อโรคและความวินาศมหันตภัย

นั่นคือสงคราโลกครั้งสุดท้ายของโลกที่หลายคัมภีร์กล่าวถึง และหลายเล่มพุดถึงปี 1999 เป็นนัยๆ 

ฟังแล้วน่ากลัวดีไหมครับ ไม่พูดเล่นนะครับ ถ้ารบกันจริงๆ ผมว่า สภาพมันก็ต้องเป็นอย่างนี้แน่นอน เพราะบรรดาอาวุธนิวเคลียร์ ที่ชาติมหาอำนาจสะสมกันทุกวันนี้ แม้เดี๋ยวนี้ ขนาดอินเดียกับปากีสถาน ก็ยังคิดได้ สำมะหาอะไรกับอีกหลายประเทศ ก็คงคิดได้แล้วแอบซ่อนเอาไว้

ณ วันนี้มหาอำนาจของโลกก็จะวัดกันด้วยศักยภาพทางทหาร ทางการเมือง ทางเศรษฐกิจ ก็เพราะเหตุนี้เอง โลกจึงได้วุ่นวาย แข่งขันกันชิงดีชิงเด่น ในการสร้างแสนยานุภาพ ทางทหาร ทางอาวุธ ทางการเมือง ทางเศรษฐกิจ และปัจจุบัน แสนยานานุภาพใหม่ คือแสนยานุภาพทางการเงิน

การยึดครองโลก ณ วันนี้ แม้ประเทศเล็กๆ ก็สามารถยึดครองประเทศใหญ่ๆ ได้โดยไม่ต้องใช้อาวุธ ไม่ต้องใช้กระสุน ไม่ต้องใช้กำลังทหาร ใช้แต่สมองกับเงิน 

ตัวอย่างเช่น ประเทศญี่ปุ่น มีเนื้อที่พอๆ กับประเทศไทย มีพลเมืองมากกว่าประเทศไทย 3 เท่า เล็กกว่ามณฑลใหญ่ๆ ในประเทศจีน 1 มณฑล พลเมืองน้อยกว่า 5 เท่า แต่ในเอเชีย ทั้งหมดนี้ ประเทศญี่ปุ่นประเทศเดียว มีความมั่งคั่งของประเทศ ประมาณสองในสามของความร่ำรวยของประเทศทั้งหมด ในเอเชียตะวันออก ส่วนเหลือนั้นให้ประเทศ ที่เหลือ ไปแบ่งกันเอาเอง

มีผู้นำประเทศใดในโลกไหมครับ ที่คิดจะแผ่แสนยานุภพทางศีลธรรม การยึดครองโลกด้วยธรรมะ การทำให้โลกเกิดสันติสุข เกิดมิตรภาพ เกิดความรักแห่ง ความเป็นมนุษย์ด้วยกัน เป็นเพื่อนร่วมโลก เป็นเพื่อนบ้านที่ไม่แบ่งประเทศ ไม่แบ่งดินแดน ไม่แบ่งผิดพรรณ ไม่แบ่งเชื้อชาติ ศาสนา เพื่อเป็นประกาศสหัสวรรษใหม่แห่งมนุษยชาติ

การอยู่ร่วมกันโดยสันติ แม้จะมีความหลากหลายแตกตางทางความคิด ทางความเชื่อ ทางเผ่าพันธุ์ ทางผิวพรรณ แม้จะมีความ ได้เปรียบเสียเปรียบ ทางเศรษฐกิจ ความร่ำรวย ความยากจน แม้จะมีความแตกต่าง ทางความเจริญ ประเทศที่อารยธรรมสูง และประเทศที่ยังด้อยพัฒนา ด้อยการศึกษา

นักประวัติศาสตร์อังกฤษท่านหนึ่ง คือ อาร์โนลด์ เจ.ธอย์นบี เขียนไว้ในปี 1947 เขียนไว้ในหนังสือ "Civilization on trial" เขากล่าวถึงอารยธรรมของมนุษยชาติไว้ อย่างน่าสนใจ ว่า อารยธรรมของมนุษย์นั้น จะวิวัฒนาการไปสู่จุดหนึ่งที่มนุษย์เราต้องกล้าคิด กล้ามอง กล้าอุทิศตน กล้ารับปากที่จะต้องทำให้ได้ โดยมองให้ไกลนับพันปี สองพันปีล่วงหน้า เพื่อจะ สร้างสันติสุขในโลกนี้ให้ได้ รวมโลกนี้ให้เป็นหนึ่งเดียวให้ได้

และการผนึกประสานโลกที่กล่าวนี้ จะทำได้จะต้องประสานใจ ระหว่างมนุษยชาติ โดยมีศาสนาเป็นบทบาทสำคัญ.

สิงห์ขาว


[หน้าหลัก][หน้า1][สหัสวรรษ][วิวาทะ]

1