ปีที่ 2 ฉบับที่ 794 ประจำวันพุธที่ 15 เดือนกันยายน พ.ศ. 2542

วิวาทะ

เมื่อเซียนพระปั่นราคาวัตถุมงคลไม่ขึ้น พระพรหมโมลีจะตกเป็นเหยื่อ

มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ทั้งจากฆราวาสและพระสงฆ์ พุ่งเป้าไปที่การทำหน้าที่ผู้พิจารณานิคหกรรมพระธัมมชโย ของพระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1 ในทางลบมานับสัปดาห์แล้ว

อันเป็นผลพวงมาจากเจ้าคณะภาค 1 มีวินิจฉัยไม่สั่งฟ้อง นิคหกรรมพระธัมมชโย ตามข้อกล่าวหาของ มาณพ พลไพรินทร์ และ สมพร เทพสิทธา ด้วยเหตุผลที่ว่า คฤหัสถ์เป็นได้แค่ ผู้กล่าวหา ไม่อาจเป็นโจทก์ฟ้องพระได้ ผู้ที่เป็นโจทก์ จะต้องเป็นพระภิกษุ และสามเณร ที่มีคุณสมบัติเท่านั้น...

คำวินิจฉัยของพระพรหมโมลี ถูกตำหนิว่า เป็นการ "อุ้ม" ช่วยเหลือสมภารวัดพระธรรมกายไปโน้น

และนำมาซึ่งการฟ้องเจ้าคณะภาค 1 ในคดีอาญา ข้อหาเป็นเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่

เป็นคดีความแปดเปื้อนที่ปรากฏในชีวิตความเป็นพระภิกษุของพระพรหมโมลี ที่อุทิศตนบวชในพระพุทธศาสนา มาจนเกือบปัจฉิมวัย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเศร้าสลดใจที่สุด

ปาจิณ ฐานังกูล มีชื่อปรากฏอยู่ในข่าวหน้า 1 ในฐานะผู้ฟ้องร้องเจ้าคณะภาค 1 ควงคู่กับเจ้าของแผงพระจิ๊บจ๊อย บุกกองปราบฯ ฟ้องคดีอาญาพระ

ทำให้หลายคนอยากรู้จักคนๆ นี้ขึ้นมาทันที ว่าเขาเป็นใคร เหตุใดจึงกล้าหาญชาญชัย ปฏิบัติการท้านรกได้เพียงนี้?

ผมจะบอกให้ก็ได้ ว่าคนๆ นี้ มีประวัติความเป็นมาอย่างไร?

หากคุณเคยไปห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ย่านประตูน้ำท่าพระจันทร์ ก็จะเห็นคนผู้นี้ เล่นแร่แปรธาตุ ทำพุทธพาณิชย์ ซื้อ - ขาย วัตถุมงคล

"อนิจจา" โลกนี้ไม่เที่ยง หากินกับพระ ยังกล้ายัดเยียดคุกตะรางฟ้องร้องพระอีก

มีเหตุผลอะไรที่เซียนพระเครื่องกระจอกๆ ต้องลงทุนลงแรง ฟ้องพระพรหมโมลี ไอ้ที่ออกมาอ้างว่า ทำไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ อย่ามาพูดให้เหม็นขี้ฟันดีกว่า

เพราะหากคิดว่า การปกป้องพระพุทธศาสนา ต้องใช้ความรุนแรง อย่างกลุ่มกรีดเลือด "สงฆ์ยุค 2000" เสียบหัวประณาม ถอดแบบอย่างความรุนแรงใน "ติมอร์" นั้น

เขาไม่เรียกว่า เป็นการปกป้องพระพุทธศาสนา หากแต่เป็นอวิชชาที่แสนบรมโง่ของคนสิ้นคิดเท่านั้นมากกว่า

เตือนแบบพุทธวิธี คนกลุ่มนี้คงไม่ได้สติสักเท่าไหร่ จะให้ถ่มน้ำลายรดหน้า ก็ดูจะหยามหมิ่นในความเป็นเพื่อนมนุษย์เกินไป

ก็พอจะรู้ต้นสายปลายเหตุมาบ้างว่า… ธุรกิจพุทธพาณิชย์กำลังเดินเข้ามุมอับ ปั่นราคาวัตถุมงคลอย่างไรก็ไม่ขึ้น พิมพ์เล็ก พิมพ์ใหญ่ ของเก๊ ปนของเทียม พ่นน้ำลายกรอกหู ประชาชน ไม่สำเร็จเสียแล้ว จึงออกมารับจ๊อบงานใหญ่ เคลื่อนไหวปกป้องพระพุทธศาสนา ด้วยอวิชชาที่มืดบอด

บาปกรรมหนอ….!~

ผมขอย้ำว่า เจ้าคณะภาค 1 ทำถูกต้องตรงรอยตามกฎระเบียบมหาเถรสมาคมแล้ว

การที่ท่านจะออกมาใช้สิทธิฟ้องร้องกลับเซียนพระ ก็เพื่อรักษาพระธรรมวินัย รักษากฎระเบียบ อำนาจคณะมหาเถรสมาคม ที่ยังมีกฎหมายรองรับองค์กรนี้อยู่

ขณะเดียวกัน ก็มีหลายฝ่ายออกมาตำหนิเจ้าคณะภาค 1 กรณีฟ้องร้องกลับฆราวาส เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม และไม่มีเมตตา อุเบกขา

ไม่เข้าใจว่า ทำไมจึงมีความคิดเห็นอย่างนั้น ผมขอสนับสนุนให้พระพรหมโมลี ฟ้องเพื่อรักษาพระธรรมวินัย ให้เจริญยิ่งๆ หากไม่แล้ว ท่านอาจถูกมองว่า ใช้อุเบกขาผิดที่ ผิดทาง

จะกลายเป็นอุเบกขาแบบวัว ควาย จะไปกันใหญ่ !

โดยเฉพาะ พิภพ กาญจนะ อธิบดีกรมการศาสนา เหน็บแนมพระพรหมโมลีว่า อาจมองพระไม่มีเมตตาฟ้องฆราวาส ไม่เหมาะสม โดยส่วนตัวผมเห็นว่า ความคิดของอธิบดีผู้นี้ ออกจะ ตีกรอบคับแคบไปหน่อย

แต่ก็อย่างว่า "พิภพ" จะรู้อะไรไปกว่าที่รู้ว่า ตัวเองเป็นอธิบดีกรมการศาสนาบ้างล่ะ

ลูกน้องลงขันเลื่อยขาเก้าอี้ เดินสายตบทรัพย์ล้วงย่ามพระ หวังขึ้นเป็นใหญ่จนเป็นข่าวฉาวโฉ่ ทางที่ถูก ตัวท่านอธิบดีเองนั่นแหละ ที่จะต้องกลับไปทบทวนบทบาทของตัวเอง

ถามใจตัวให้ดีซิว่า… อะไรคือหน้าที่ของอธิบดีกรมการศาสนา โดยเฉพาะหน้าที่ของกรมการศาสนา ที่จะต้องดูแลศาสนาทุกๆ ศาสนา ให้อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขในสังคมเรานี้

โดยเฉพาะพระพุทธศาสนา ซึ่งมีบทบาทมากที่สุดในประเทศไทย เงินงบประมาณ เงินอุปถัมภ์ค้ำชู ส่วนใหญ่ก็มาจากวัดในพระพุทธศาสนาทั้งสิ้น

อย่าให้พระสงฆ์ และพุทธศาสนิกชนมอง… กรมการศาสนา เป็นเสมือน กรมทำลายศาสนา เลยครับ เพราะจะเข้าอีหรอบ กรมป่าไม้ ที่ประชาชีเขาพากันเรียกขานนามว่า "กรมตอไม้"

โซตัส


[หน้าหลัก][หน้า1][วิวาทะ][สหัสวรรษ][ปุจฉา]

1