ปีที่ 2 ฉบับที่ 744 ประจำวันพุธที่ 28 เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2542

ปุจฉา วิสัชนา

กรุณามี "สติ"

เรียน คุณ "ไอ้ทิด"

ผมเป็นอดีตเด็กวัดเกาะ (เยาวราช) นับถือศาสนาพุทธทั้งโคตร (คนไทยแท้) ในบั้นปลายของชีวิตก็หวังพึ่งความสงบด้วยการปฏิบัติธรรม ไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวกับเรื่อง ของพระสงฆ์ องค์เจ้า ผมมีลูกชาย 2 คน ทุกคนได้บวชตามประเพณี ผมว่าลูกผมเป็นคนดีนะ เพราะเดี๋ยวนี้ไม่ดื่มสุรา เป็นผลจากการเข้าวัดปฏิบัติธรรม

ผมและลูกชายทั้ง 2 เรียนทางด้านวิศวกรรม ประเพณีของพวกเรียนทางช่างนั้น เขาจะสืบทอดความชั่วให้น้องๆ คือ ลูกผู้ชาย ต้องกินเหล้าเป็น สูบบุหรี่เป็น บางแห่ง อาจจะสอน เลยเถิดไปกว่านั้น ประเพณีชั่วๆ เหล่านี้ทำให้สังคมไทยผิดเพี้ยน เมื่อบางคนได้รับราชการมีหน้าที่รับผิดชอบมากขึ้น

การผิดศีล 1 ข้อ คือ ดื่มสุรา มันกลายเป็นเชื้อ ทำให้คนที่ขาดสติไปทำผิดอย่างอื่น คือคบคนพาล พากันไปเที่ยวกลางคืน ค่าใช้จ่ายก็เพิ่มขึ้น ก็พยายามแสวงหา ทรัพย์ให้เพียงพอ ต่อค่าใช้จ่าย

เมื่อได้ทรัพย์มาแล้วจะโดยวิธีใดก็ตาม ด้วยความเสน่หาหรือทุจริต ก็เริ่มผิดศีลในเรื่องกาม อาจผิดลูกเมียเขา มันลามปามไปเรื่อยๆ ผมและลูกนั้นโชคดี หยุดเรื่องสุราได้ ก็คิดว่า เราและครอบครัวคงจะมีความสุขในอนาคต ไม่ได้หวังว่า จะต้องมีทรัพย์สมบัติอะไรมากมายนัก มีความพอใจในสิ่งที่มีอยู่ก็พอแล้ว

เรื่องที่ผมต้องการเขียนถึงคุณไอ้ทิดก็คือ ขณะนี้ปฏิบัติธรรมครั้งใด ใจผมไม่สงบ กลัวว่าพุทธศาสนาจะวิบัติ และหมดสิ้นไป จากประเทศไทยในกาลข้างหน้า

คุณไอ้ทิดครับ ผมทำใจไม่ได้ วัดนั้นได้ให้ทุกสิ่งที่ดีงามแก่ผม ความสำนึกในข้าวก้นบาตรที่หลวงพ่อ หลวงพี่ และสามเณร ท่านบิณฑบาตจากพุทธศาสนิกชน ที่มีจิตศรัทธา ทำให้ผม มีโอกาสในสังคม เป็นหน้าที่ของเด็กวัดอย่างผม ต้องปกป้องพุทธศาสนา

ขณะนี้เรื่องที่พุทธศาสนิกชน เริ่มเสื่อมศรัทธาต่อภิกษุสามเณร เนื่องมาจากการเสนอข่าวของสื่อฯ เอาเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องมานำเสนอ เรื่องที่ดังที่สุด อาจจะดัง ข้ามปี ข้ามศตวรรษ และข้ามภพข้ามชาติ ก็คือ เรื่องวัดพระธรรมกาย หรือพระราชภาวนาวิสุทธิ์ หรือพระธัมมชโย คณะบุคคลที่ร่วมกันเสนอข่าว คงจะได้เตรียมขวาน ใส่เกราะ วิชาอยู่ยงคงกระพัน เพราะ เมืองนรกจะต้องเจอแน่ เอาละเข้าประเด็นเลยนะ

เรื่องวัดพระธรรมกายเท่าที่ติดตามข่าว ดูเหมือนว่าตำรวจกองปราบ นำทีมโดย พล.ต.ท.วาสนา เพิ่มลาภ ผู้ช่วยอธิบดีตำรวจ ได้แสดงอาการในที่แจ้ง ให้สาธารณชนเข้าใจว่า คณะเจ้า พนักงานสอบสวนในคดีนี้ สามารถพบหลักฐานเป็นพยานเอกสาร ถึงขั้นเอาผิดในคดีอาญากับ พระราชภาวนาวิสุทธิ์ได้แล้ว คงไม่พ้นข้อหายักยอกทรัพย์ คนไทยพุทธอย่างผม ก็ขอเตือนสติ ท่านเหล่านั้นว่า

1. การพิจารณาสืบสวน และสอบสวนในคดีใดๆ ก็ตาม อย่าไปตั้งเป้าไว้ว่า จะต้องเอาความผิดให้ได้ จะทำให้มีอคติ ทำให้ขาดสติ มีมิจฉาทิฏฐิ ทำให้หลงประเด็น แล้วจะเสียใจภายหลัง

2. คนเรานั้นขอให้ตั้งไว้ในความสุจริต เอาข้อเท็จจริงให้ปรากฏหลักฐานที่ถูกต้อง ใช้สติปัญญาพิจารณาโดยละเอียด เป็นตัวของตัวเอง การรู้จักนึกตรึกตรอง มีสติ จะทำให้เกิดปัญญา นำมาซึ่งความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน

3. การได้รับผิดชอบในคดีที่เกี่ยวกับพระนั้น ถ้าทำดีถูกต้อง จะได้บุญกุศลมหาศาล เพราะเป็นการปกป้องพระพุทธศาสนา แต่ถ้าทำผิดพลาด หนทางข้างหน้า นรกลูกเดียว ไม่ใช่ เฉพาะหัวหน้าทีมเท่านั้น ทั้งคณะเลยนะครับ

4. คดีอาญานั้น ครูบาอาจารย์สอนนักสอนหนา การจะตั้งข้อหาใดแก่จำเลย พึงจดจำไว้ว่า ให้พิจารณาให้ครบองค์ประกอบ จึงจะสามารถเอาผิดต่อจำเลยได้ คือ

4.1 ผู้เสียหายคือใคร มีกฎหมายรองรับหรือไม่

4.2 การกระทำเข้าลักษณะความผิดฐานใด

4.3 เจตนาเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด

5. คดีวัดพระธรรมกายนั้น ถ้าดูเผินๆ ก็เหมือนง่าย เพราะได้ตั้งประเด็นไว้ว่า พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (พระธัมมชโย) น่าจะมีความผิดฐาน "ยักยอกทรัพย์" ออกข่าวด้วยความลิงโลดว่า พบแล้วผิดข้อหายักยอกทรัพย์ ต้องถูกจับสึกแน่ ถ้าสำเร็จปีนี้ น่าจะได้ 2 ขั้น ขอให้ตั้งสติให้ดีๆ นะครับ บรรดาสื่อทั้งหลาย

5.1 คำว่า ยักยอกทรัพย์นั้น จะต้องดูว่าทรัพย์เป็นของใคร ถ้าตีความว่าทรัพย์เป็นของวัดพระธรรมกาย เจ้าอาวาสได้นำทรัพย์นั้นไปให้บุคคลอื่น หรือเป็นของส่วนตัว ถ้าเป็นอย่างนี้จริง ก็เข้าข่ายนะครับ แต่

5.2 อย่าเพิ่งดีใจ ค่อยๆ ควบคุมสติ ใช้ปัญญา ลองไปดูมาตรา 59 กม.อาญาดูหน่อย เขาว่าไว้อย่างไร

"เรื่องเจตนา" นะครับ ถ้าตีความตามกระแส พระราชภาวนาวิสุทธิ์ ยักยอกทรัพย์ ที่ดิน หรือเงินของวัดพระธรรมกาย ไปให้พระธัมมชโย ทำไปโดยสุจริต เพื่อให้เป็นประโยชน์ของตน ก็ผิดอีก

ปัญหาที่จะต้องถามต่อมาว่า เมื่อท่านได้ทรัพย์ต่างๆ ตามที่ว่ามานั้น ท่านจะเอาไปทำอะไร ไปแสวงหาประโยชน์ส่วนตัว หรือหมู่คณะใช่หรือไม่ ก็ใช่อีก เพราะเอาไป เพื่อสร้างที่ ปฏิบัติธรรม ให้กับหมู่คณะของท่าน ก็เข้าหลักกฎหมายอีก

5.3 ตั้งสติกันใหม่อีกรอบ ก็ต้องถามกันว่า พระภิกษุสงฆ์ท่านมีหน้าที่ทำอะไร ท่านเป็นตัวแทนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อละเว้นความชั่ว แล้วที่ท่านทำไปนั้น เป็นกิจของสงฆ์หรือไม่ แล้วท่านเคยสร้างศูนย์ปฏิบัติธรรมจริงหรือไม่ เป็นเรื่องที่ต้องตามไปดู เอาความจริงมาพิสูจน์ให้ได้

5.4 เรื่องการพิจารณาคดีในศาลนั้น ในคดีอาญา ศาลท่านจะให้ความสำคัญในเรื่องเจตนามาก คุณตำรวจจะต้องสืบสวน และสอบสวน ให้ได้ความจริง อย่างชัดเจน นะครับว่า ท่านพระราชภาวนาวิสุทธิ์นั้น ท่านเคยประพฤติในทางเสียหายมาอย่างไร เคยทำความผิดอาญาจนเชื่อได้ว่า มีสันดานเป็นคนพาล ชอบคบคนชั่วเป็นมิตร กระทำ ความผิดเป็นอาจิณ

แต่ถ้าสืบแล้ว ปรากฏว่า ท่านเป็นคนดี เป็นพระภิกษุสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ชอบสอนให้คนอื่นทำความดี ปฏิบัติธรรมถือศีล 5 มีคนเลื่อมใสศรัทธามาก คนที่ปฏิบัติธรรม ตามท่าน สามารถลด เลิก อบายมุข เคยดื่มสุราก็เลิกเสีย คนธรรมดาอย่างผมก็ย่อมเชื่อว่าท่านเป็นคนดี การรับบริจาคที่ดิน หรือทรัพย์อื่น เจตนาเพื่อ สร้าง สถานที่ปฏิบัติธรรม จะโดยการใดก็ตาม ท่านขาดเจตนาทุจริตนะครับ

คำว่าโดยเจตนานั้น เป็นเรื่องพิสูจน์ยาก เพราะเป็นเรื่องของจิตใจ ซึ่งอยู่ภายในกายของคน ไม่มีเครื่องมืออะไรมาวัด "เจตนา" ได้ แต่ในทางกฎหมาย เขาถือว่า "กรรม คือเครื่องชี้เจตนา" ก็คงไม่ต้องอธิบายต่ออีก เพราะคนที่มีสติปัญญาพอ ที่คิดได้ว่าหมายความว่าอย่างไร

6. เรื่องผู้เสียหาย ใครคือผู้เสียหาย กรณีการยักยอกทรัพย์ มีข้อที่จะต้องพิจารณาคือ

6.1 เจ้าของทรัพย์ที่แท้จริงในเบื้องต้นก็คือ บรรดาผู้ที่บริจาคที่ดินหรือทรัพย์สินเงินทองทั้งหลาย ก็ไม่ปรากฏว่าผู้บริจาคเหล่านั้น มาแจ้งความร้องทุกข์ว่า ตนได้รับความเสียหาย จากการกระทำของพระราชภาวนาวิสุทธิ์ แต่ที่เป็นข่าวมาตลอด ผู้ที่เดือดร้อนมากที่สุดคือ บรรดาผู้ที่มิได้บริจาค หรือบุคคลที่ไม่เคยเข้าวัด แถมบางคนไม่ได้นับถือศาสนาพุทธอีกต่างหาก เวรกรรม

6.2 สมมติว่ามีการสืบสวนได้ความว่า พระราชภาวนาวิสุทธิ์ หรือตัวแทนได้กระทำการจ่ายเงิน เพื่อการให้ได้มาซึ่งที่ดิน โดยมีพยานหลักฐาน เป็นเอกสารบัญชี แสดงการเบิกจ่ายเงิน ของธนาคาร หลักฐานชัดเจนผิดแน่ๆ

ขอให้ตั้งสติให้ดีอีกรอบ ถ้าเป็นอย่างที่ว่าจริง ใครเป็นผู้เสียหาย "วัดพระธรรมกาย" ใช่หรือไม่ แล้วขณะนี้วัดได้ดำเนินการแจ้งความ ร้องทุกข์ต่อ เจ้าพนักงานสอบสวน แล้วหรือยัง คิดผิดคิดใหม่ได้นะ

6.3 กระทรวงศึกษาธิการ (ท่านอาคม เอ่งฉ้วน) ได้สั่งการจะด้วยวาจาหรือเอกสาร ให้กรมการศาสนาไปแจ้งความร้องทุกข์ ต่อตำรวจกองปราบให้ดำเนินคดีอาญา กับพระราชภาวนา วิสุทธิ์ ถามจริงๆ เถอะครับ กรมการศาสนามีอำนาจหน้าที่มากน้อยแค่ไหน ในเรื่องที่เกี่ยวกับที่ดินของวัดต่างๆ ในพระพุทธศาสนา ไปศึกษาให้ละเอียดรอบคอบ อย่าพยายามออกข่าว ในทางลบ ให้พุทธศาสนิกชนมัวหมอง ไทยพุทธจริงๆ นั้น ชอกช้ำกับพฤติกรรมของท่านๆ มามากแล้ว คิดถึงพระเณรต่างจังหวัดกันบ้าง ช่วยกันโหมประโคมข่าว จนแทบไม่มีคนทำบุญ ตักบาตรแล้ว

มนุษย์เป็นสัตว์ที่ประเสริฐกว่าสัตว์ทั้งปวง เนื่องจากมีสติปัญญา รู้จักคิด กรณีทำผิดไปแล้ว รู้สำนึกกลับตัวกลับใจ เช่น องคุลีมาล ท่านฆ่าคนตายด้วยความหลงผิด เมื่อคิดได้และ บวชเป็นภิกษุ กรรมที่ท่านทำไว้ ก็ส่งผลให้ท่านได้รับทุกขเวทนา แต่ด้วยความมีศรัทธาแก่กล้า เลื่อมใสในพุทธศาสนา เชื่อฟังและปฏิบัติตามคำสั่งสอน ของพระพุทธองค์ โดยเคร่งครัด ในที่สุด ท่านก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์

สุดท้ายนี้ผมอยากจะให้ข้อคิด เตือนสติแก่ผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง และรับผิดชอบกับกรณีพระธรรมกายก็ดี พุทธศาสนาก็ดี ขอให้ท่านไปศึกษากรณีพระพิมลธรรม เป็นกรณีศึกษา ตำรวจและพระสงฆ์ ที่ร่วมปฏิบัติการ เปลื้องจีวรของท่านนั้น ผลกรรมเป็นอย่างไร

เขาเหล่านั้นตายแปลกๆ ไม่น่าตายก็ตาย เป็นการตายผิดธรรมชาติทั้งนั้น กรรมนั้นมีจริง ขณะนี้ยังไม่ปรากฏผลทันตาเห็น อาจจะเนื่องจากในอดีตชาติ ท่านอาจเคยทำบุญมา กรรมจึงยังตามไม่ทัน แต่ถ้าหมดบุญเมื่อไหร่ กรรมก็คงตามทันเองนั่นแหละครับ

ผมได้ทำหน้าที่ตามความเป็นพุทธศาสนิกชน เตือนได้ก็เตือน อย่าไปหลงใหลได้ปลื้มกับลาภสักการะที่ได้รับ หรืออาจจะได้รับเนื่องจากคดีนี้ ก็ขอให้เชื่อเรื่อง บาป บุญ นรก สวรรค์ กันบ้าง ก็เขียนไว้ในพระไตรปิฎก ที่ท่านทั้งหลายชอบอ้างกันนักนั่นแหละ

ขอความสุขความเจริญจงเกิดแก่ผู้ปฏิบัติธรรมทุกท่าน

วุฒิชัย รัตนสูรย์

สมาชิกชมรมชาวพุทธสากล แห่งประเทศไทย

ไอ้ทิด

[หน้าหลัก] [หน้า1][วิวาทะ][ปุจฉา][สหัสวรรษ][พิเศษ]

1