ปีที่ 2 ฉบับที่ 734 ประจำวันจันทร์ที่ 19 เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2542

ปุจฉา วิสัชนา

เรียน พ.ต.ท.พรศักดิ์ ทิทยรัตน์ ที่นับถือ

ดิฉันได้ชื่อท่านจากหนังสือพิมพ์ ท่านเป็นผู้รับเรื่องร้องทุกข์ของนายเสฐียรพงษ์ ที่ร้องทุกข์กล่าวโทษ พระครูปทุมกิจโกศล กรณีเรื่อง "พระลิขิตสมเด็จพระสังฆราช" จม.ฉบับนี้ ขอเขียนจากความคิดเห็น ของประชาชนชาวพุทธคนหนึ่ง เมื่อครั้งที่ "พระลิขิต" ออกมา 5-6 ฉบับติดๆ กัน เมื่อปลายเมษา 42 นั้น ดิฉันอ่านแล้วรู้สึกแปลกๆ เพราะดิฉันเป็น ลูกศิษย์สมเด็จ พระสังฆราชคนหนึ่ง ได้มีโอกาสฟังพระธรรมเทศนา จากท่านหลายครั้ง ทั้งจากพระโอษฐ์ และจาหนังสือหลายสิบเล่ม ที่ทรงลิขิต องค์ท่านนั้น เปี่ยมด้วยพระเมตตาบารมีสูงมาก

ท่านจะไม่มีวันว่าร้าย กระแนะกระแหน หรือเสียดสีใครเป็นอันขาด ดิฉันขอยืนยันว่า ไม่ใช่สำนวน และพระนิสัยของสมเด็จท่านโดยเด็ดขาด ระยะหลัง พระพลานามัยของท่าน ไม่ค่อยแข็งแรง ไม่ได้แสดงธรรมหลายปีแล้ว ซึ่งตำรวจและลูกศิษย์ของท่าน ทราบดีทุกคน จากเหตุผลที่เปิดเผย ตามข่าวหนังสือพิมพ์ ถ้าตำรวจติดตามสังเกตดู ก็จะเห็นความผิดปกติ หลายประการ ถ้าวิเคราะห์ด้วยใจเป็นธรรม และมิได้ถูกอำนาจใดๆ มาบดบัง ดิฉันขอทบทวนคร่าวๆ ดังนี้

1) พระลิขิตฉบับแรก ออกมาเมื่อต้นเมษา 42 ที่สมเด็จพระสังฆราช ท่านให้คำแนะนำเทศนาสั่งสอนกว้างๆ กับคณะสงฆ์ที่พุทธมณฑล ยังไม่มีกระแส

2) อยู่ดีๆ ฉบับที่ 2 ออกเมื่อ 26 เมษา 42 ปรากฏเป็นข่าวในทีวีทันที เจตนาจะว่าวัดพระธรรมกายแต่ไม่มีชื่อ แต่เป็นที่ทราบกันว่า "สำเนา" ให้คนขับรถไปมอบให้ ITV

3) ฉบับที่ 3 ตามมาติดๆ ยังไม่มีชื่อวัดพระธรรมกาย เช่นกัน พระลิขิตทั้ง 2 ฉบับ ไม่มีเลขที่ ตัวหนังสือในข้อความ มีตัวเลขอารบิค ไม่ใช่เลขไทย ซึ่งมิใช่วิสัยของสมเด็จท่าน (คนเขียน คงลืม มองข้ามจุดเล็กๆ น้อยๆ)

4) ฉบับที่ 4 เป็นข้อความสั้นนิดเดียว แต่มีชื่อวัดพระธรรมกาย เนื่องจากนักกฎหมายของวัด คือ อ.มานิต รัตนสุวรรณ มาแถลงข่าวว่า วัดพระธรรมกาย ไม่ได้ถูกเอ่ยนามในฉบับ 2-3 จึงไม่เดือดร้อน ตามข่าวชี้นำของหนังสือพิมพ์ ฉบับที่ 4 จึงออกมาติดกัน พร้อมเป็นข้อความตัดพ้อต่อว่า ซึ่งมิใช่วิสัยของสมเด็จท่านโดยเด็ดขาด

5) ต่อไป ฉบับ 5-6 ออกมาติดๆ พร้อมสรุปอดีตเจ้าอาวาส…. ไม่อยากยุ่ง

ดิฉันในฐานะลูกศิษย์สมเด็จท่านเช่นกัน ทนไม่ได้ที่เห็นพระองค์ท่าน ถูกนำพระนามไปใส่ข้อความที่ไม่ใช่ของพระองค์ท่าน เจ็บใจและเสียใจ แต่ไม่ทราบจะทำอย่างไร เพราะ ผู้ดำเนินการแทนนี้ ชาญฉลาดมาก ไม่มีใครสามารถร้องเรียนได้ เพราะจะถูกข้อหาหมิ่นประมาททันที ดังที่เจ้าอาวาสวัดสว่างภพโดน ณ ปัจจุบัน

6) ตัวคุณอาคมเอง ตอนแรกก็ออกมายืนยันว่า "น่าจะมาจากห้องกระจก" รวมทั้งพระรัตนราชมงคล ผู้เป็นเลขาของสมเด็จท่าน ก็ยืนยันว่าไม่รู้ไม่เห็น

7) ภายหลังมีพระภิกษุ เจ้าอาวาสวัดท่าช้าง ดิฉันจำพระนามไม่ได้ เป็นอดีตเลขาของอดีตสมเด็จพระสังฆราช ไปฟ้องตำรวจ ขอให้ตำรวจสอบพระลิขิตภายในเวลาไม่กี่วัน พระรัตน ราชมงคล ออกมาให้ข่าวสั้นๆ ว่า เป็นพระลิขิตจริง

ซึ่งดิฉันก็เข้าใจดีว่า ตำรวจไม่สามารถทำความจริงให้เปิดเผยได้ เพราะการสรุปแบบนี้ เป็นหนทางที่ดีที่สุด สำหรับองค์พระประมุขสงฆ์ แต่ผู้รับเคราะห์ก็คือ เจ้าอาวาส วัดพระธรรม กาย ท่านถูกจาบจ้วง ถอดยศถอดศักดิ์ ถูกโจมตีบิดเบือนต่างๆ นานา กฎหมายบ้านเมือง นอกจากทำอะไรไม่ได้แล้ว ผู้รักษากฎหมาย ผู้มีอำนาจตัดสิน ก็ไม่กล้า แม้แต่ทำตัวให้เป็นกลาง เต้น ตามกระแสข่าว ตามสื่อ ตามขบวนการผู้อยู่เบื้องหลัง บ้านเมืองนี้เป็นอะไรไปแล้วหรือคะ ความยุติธรรมอยู่ที่ไหน ผู้ที่ปั่นป่วนพุทธศาสนา กลับลอยนวล ผู้ที่ดำเนินรอย ตามพระพุทธองค์ กลับเป็นผู้ผิด

ท่านเจ้าอาวาสวัดสว่างภพ พระครูปทุมกิจโกศล ท่านคงพูดจากความรู้สึกภายในที่ไม่เจตนาจะดูหมิ่นสมเด็จพระสังฆราช เป็นความคิดเห็นที่ทางตำรวจ น่าจะตรวจสอบเรื่องราว ทาง เบื้องหลัง เป็นการพิทักษ์ สมเด็จพระสังฆราชด้วย มาแกล้งพระ (คุณเป็นตำรวจก็น่าจะรู้ดี) และถ้าจะนำข้อความในพระลิขิตมาบัญญัติใช้ขึ้นจริง จะไม่มีพระภิกษุสงฆ์ เหลืออยู่ใน ประเทศไทย แม้สักองค์เดียว

ในฐานะประชาชนคนไทยที่รักความเป็นธรรม รักพระพุทธศาสนา รักที่จะเห็นบ้านเมืองสงบสุข ขอวิงวอนท่าน และกลุ่มที่ดูแลความมั่นคงของประเทศไทย ได้โปรดอย่าบ้าจี้ตามข่าว นามของท่านคือ "ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์" โปรดให้ความเป็นธรรมแด่พระครูปทุมกิจโกศล เพราะที่ท่านพูด (ตามข่าวหนังสือพิมพ์) เป็นความสงสัยของพวกเราชาวพุทธมานานแล้ว แปลกที่ว่า เมื่อ เจ้าอาวาสวัดท่าช้างไปแจ้งความ ทำไมข่าวช่วงนั้นจึงเงียบสนิท ถึงแม้พระรัตนราชมงคลออกมารับ (แบบเสียไม่ได้ แบบน้ำท่วมปาก) ทำไมไม่มีใคร โหมกระพือข่าว ของการเป็นผู้แพ้ ของ เจ้าอาวาสวัดท่าช้าง เพราะข่าวที่ไม่เป็นผลบวก แก่วัดพระธรรมกาย ทุกครั้งมักถูกละเลงขึ้นหน้าหนึ่งตลอดมา (พระลิขิต สอบแล้วว่าจริง? หนังสือพิมพ์น่าจะเล่นข่าวหนัก นี่เงียบ อย่างประหลาด คล้ายอยากให้เรื่องสลายลงอย่างเร็ว)

ที่ดิฉันอดรนทนไม่ได้ ต้องเขียนมาถึงคุณตำรวจ ก็เพราะดิฉันเคารพศรัทธาต่อองค์สมเด็จพระสังฆราช ตั้งแต่ท่านยังไม่ได้เป็นประมุขสงฆ์ ความเคารพศรัทธานั้นมิได้เสื่อมคลาย จึงไม่อยากเห็นพระองค์ท่าน ตกเป็นเครื่องมือของกลุ่มบุคคลใด โดยอาศัยพระบารมีและพระสังขารของพระองค์ท่าน และอ้างพระองค์ท่าน มาทำลายเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย รวมทั้ง องค์กรของวัดพระธรรมกาย

คุณอย่าลืมนะคะ ว่าลูกศิษย์วัดพระธรรมกายมีเป็นแสนๆ คน ทั่วประเทศไทย และในต่างประเทศ แต่ที่พวกเขานิ่งอย่างสงบ เพราะทุกคนเชื่อฟังหลวงพ่อว่า ให้อดทนและสงบเสงี่ยม ลูกศิษย์ทุกคนต่างก็เคารพเทิดทูน ทั้งสามสถาบัน คือชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ทั้งจากใจและการกระทำ

ความรักของเรา มิได้น้อยไปกว่าผู้ที่ไปแจ้งความรังแก พระครูปทุมกิจโกศล คือนายเสฐียรพงษ์ วรรณปก ซึ่งมีบาดแผลเหวอะหวะ จากการสัมมนาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เสนอความเห็นสมควรให้ องค์สมเด็จพระสังฆราช ทรงสละตำแหน่งปกครองสงฆ์

ถ้าพระภิกษุสงฆ์ และชาวพุทธทั่วประเทศไทยที่รักความเป็นธรรม ออกมาปกป้องพระครูปทุมกิจโกศล และฟ้องนายเสฐียรพงษ์ กลับบ้าง อะไรจะเกิดขึ้น

น่าเสียดายที่นายเสฐียรพงษ์ โชคดีที่เกิดบนแผ่นดินไทย ได้เคยบวชเรียนในบวรพุทธศาสนา ได้เป็นถึงราชบัณฑิต แต่ไม่รู้ซึ้งคุณค่าของความโชคดี กลับนำความโชคดีนั้นๆ มา บ่อนทำลาย ปั่นป่วนพระพุทธศาสนา ภายใต้หน้ากากของนักปราชญ์ เก่งแต่รังแกพระดีๆ ที่ไม่อยากสู้

ดิฉัน และพวกเราชาวพุทธ จึงขอให้ผู้รักษากฎหมายได้ให้ความเป็นธรรม แด่พระครูปทุมกิจโกศล และได้พิทักษ์องค์สมเด็จพระสังฆราช ปกป้องพระองค์ท่าน โดยนำความจริง ให้ปรากฏ เพื่อมิให้เป็นบาปแก่ผู้บริสุทธิ์ต่อไป

ขอแสดงความนับถือ

ผ่องใส


เรียน คุณ "ไอ้ทิด"

เมื่อก่อนดิฉันเคยมีความคิดว่า เมืองไทยไม่น่าอยู่ เพราะระดับของคนด้อยพัฒนา ดูได้จากสังคมที่มีแต่ผู้นำครอบครัวที่เป็นผู้ชายที่เห็นแก่ตัว ล้วนผิดศีล 5 แทบทุกข้อ นักการเมือง โกงกินสารพัด ฯลฯ หญิงไทยหลายคนจึงมีความคิดอยากแต่งงานกับชาวต่างชาติ จนเมื่อดิฉันมาพบกับวัดพระธรรมกาย จึงค้นพบว่า ยังมีผู้ชายดีๆ หลงเหลืออยู่อีก ก็คือชายไทยที่เข้าวัดถือศีล 5   ดิฉันมองเห็น แววตาแห่งความสุข ของครอบครัวที่เข้าวัด ได้ทั้งครอบครัว แล้วนักการเมืองที่ถือศีล 5 นั้นมีบ้างไหม

เราจะไม่มีวันได้รัฐบาลที่มีคุณธรรม ถ้าเราไม่ปูพื้นฐานให้เด็กๆ รุ่นใหม่ มีศีลธรรม โดยพาพวกเขาเข้าวัดเสียตั้งแต่ยังเล็ก อย่างที่วัดพระธรรมกาย กำลังทำอยู่ ดังนั้นในอนาคต เราจึง หวังได้แน่นอนว่า เราจะได้ผู้คนในทุกๆ อาชีพที่มีคุณภาพ มีศีลธรรม มีคุณธรรมประจำใจ โดยเฉพาะอาชีพ "ผู้สื่อข่าว" ซึ่งกำลังเป็นภัยอันตราย ต่อพุทธศาสนาอยู่ในขณะนี้

แต่ ณ วันนี้ ปัญหาที่เราเผชิญอยู่ก็คือ การเข็ญคนในยุคนี้ ซึ่งเปรียบเสมือน "ไม้แก่ดัดยาก" ให้เข้าวัด ก็เห็นมีแต่วัดพระธรรมกายนี่แหละ ที่มีอะไรเป็นพิเศษ ที่สามารถดึงคนให้เข้าวัด ได้มากมาย ให้ลองไปวิเคราะห์ดูเถิดว่า แม้พวก "ธรรมกาย" เอง กว่าจะเข้าวัดได้แต่ละคน ก็แผลงฤทธิ์ แผลงเดชกันพอควร เพราะทุกคนเริมต้นจากความไม่เชื่อทั้งสิ้น จึงเห็นได้ว่า คนไทย ส่วนใหญ่ มิใช่คนไร้ปัญญา มีบุญเก่าเป็นพื้นฐาน มีเมล็ดพันธ์ของพระพุทธเจ้า ฝังอยู่ภายใน เมื่อได้รับการชี้นำ ไปในทางที่ถูกต้อง เขาก็ย่อมมีโอกาสที่จะพบแสงสว่างได้ แต่เป็นที่น่าเสียดาย เหลือเกิน ที่ทุกอย่างกลับหยุดชะงัดไป เพียงเพราะการต่อต้านอย่างรุนแรงของคนเพียงบางกลุ่ม

ดิฉันมีความสงสัยเกี่ยวกับพวกต่อต้านดังนี้ ซึ่งได้ยินว่า มี 2 ประเภทคือ

1. กลุ่มที่ได้รับเงินค่าจ้าง (จากศาสนาอื่น)

2. กลุ่มที่ไม่ได้รับเงินค่าจ้าง

พวกที่รับเงินค่าจ้างจากต่างศาสนา ดิฉันจะไม่วิจารณ์นะคะ เพราะมีคำตอบชัดเจน เพราะเขาหวังเงิน และเห็นค่าของเงินมากกว่าเรื่องของ บาปบุญ ที่สำคัญคือ ไม่เชื่อเรื่องกฎแห่ง กรรม คนกลุ่มนี้คงดึงกลับมายาก ปล่อยเขาไปตามยถากรรมเถิด

ส่วนพวกที่ไม่ได้รับเงิน ไม่ว่าจะเป็นพระบางรูป นักวิชาการ ผู้สื่อข่าวและคนของรัฐบางคน คิดไปอีกทีก็น่าสงสาร โดยเฉพาะคนที่เรียนมาก รู้มาก แล้วหลงตัวเองไป ความไม่รู้คือ กรรมเก่าของเขากระมัง จึงทำให้เห็นกงจักรเป็นดอกบัวเสียได้ ที่น่าสงสารกว่านั้นคือ ผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ คือคนไทยตาดำๆ เกือบทั้งประเทศ กำลังถูกชี้นำไปในทางผิด โดยกลุ่มผู้ไม่รู้นั้น จึงเป็นอันตรายต่อพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง

ดิฉันเชื่อตามทฤษฎีของพระพุทธเจ้าเสมอว่า พระจะชนะมาร แต่นั่งรอมาตั้ง 8 เดือนแล้ว ยังเห็นไม่ชัดเลยว่า มารแต่ละตัวมีอันเป็นไปอย่างไร ฝากคุณทิดช่วยติดตามด้วย จะขอ วิจารณ์พวกมาเป็นข้อๆ ดังนี้

1) ดิฉันจะไม่วิจารณ์พระท่าน เพราะเชื่อว่า เมื่อถึงจุดหนึ่ง บุญเก่าที่ท่านทำไว้จะทำให้ท่านรู้ด้วย "ญาณ" ของท่านเองว่า ท่านกำลังหลงทางไปหรือเปล่า เพราะท่านดูน่าสงสาร มากกว่าน่าโกรธ

2) มหาส.ตัวแสบ ดิฉันประทับใจในบทความ ที่ท่านเขียนวิจารณ์ธรรมกาย ในมติชนสุดสัปดาห์มาก แสดงถึงการต่อต้านวิชชาธรรมกาย อย่างชัดเจน หากวันหนึ่ง มีการยอมรับวิชชา ธรรมกาย ท่านจะเอาหัวไปมุดไว้ตรงไหนนะ อ่านแล้วได้สัจธรรมจากท่านหลายข้อคือ

-  คนเรียนมาก รู้มาก เวลาหลงทางไปแล้ว อันตราย! เพราะสามารถลงนรกดิ่งลึกไปได้สุด สู้เกิดเป็นเด็กเลี้ยงควายยังปลอดภัยกว่า เพราะทำบาปอย่างมาก ได้แค่ฆ่าสัตว์ มาเลี้ยงยังชีพ หรือทำไป เพราะไม่ค่อยรู้เรื่องบาปบุญ

-  คนจบเปรียญ 9 ทำไมปากจัด และโกหกได้เก่งกว่าคนธรรมดา เขาไม่กลัวบาปที่เกิดจากการผิดศีลข้อ 4 หรือโรคปากเน่าปากหนอน อาจตามทันในชาตินี้ก็ได้ โดยเฉพาะยิ่งกินเหล้า ด้วย ยิ่งเน่าเร็วขึ้นนะ

3) ดร.เจิมศักดิ์ เคยชอบแกสมัยจัดรายการด่านักการเมืองเลวๆ เดี๋ยวนี้เพิ่งจะรู้ว่า นั่นเป็นวิธีการที่ "มาร" ใช้กับ "มาร" ด้วยกัน จะเอาวิธีการของ "มาร" มาใช้กับ "พระ" นั้นมันไม่เหมาะ แต่บังเอิญคน ที่มีสันดานเป็นมาร มันมองไม่ออกว่า ใครเป็นใคร พระในจิตสำนึกจึงคิดแต่จะเค้นจะประจานให้ "พระ" ลงมาเป็น "มาร" ให้ได้ เฮ้อ กลุ้ม ! ได้อ่านบทความของคุณชำนาญ พิชิตเจิมศักดิ์ แล้ว รู้สึกบรรยายลักษณะของนายเจิมศักดิ์ได้ละเอียดถี่ถ้วนดีจริง ขอแถมเพิ่มว่า บางครั้งแกพอกหน้าเสียหนาเชียว ไม่รู้เป็นโรคหน้าดำ (ผิดศีล) หรือเปล่า เวลาดูรายการ ของแกทีไร ดิฉันต้องใช้ความอดกลั้นมาก ถ้าแผ่เมตตาไม่สำเร็จก็ต้องรีบปิดทีวีเสีย ฝากไปถามถึงแกด้วยว่า รายได้ที่แกได้รับจากการจัดรายการ มันคุ้มค่ากับคำสาบแช่งที่ได้รับหรือ เพราะผลกรรมนั้น อาจตกไปถึงคนในครอบครัวด้วย

นึกแปลกใจเหลือเกินว่า เมื่อสมัยก่อน พวกสื่อก็โวยวายว่า ถูกรัฐควบคุมเสียจนขาดอิสระ แต่ปัจจุบันรับบาลชวน ไม่รู้เขานับถือศาสนาอะไรกัน (หรือเป็นเพราะเป็นคนใต้ เสีย ส่วนใหญ่) จึงปล่อยให้สื่อมีอิสระเสียจน ล้นเกินขอบเขต ปล่อยให้มีรายการประเภท บ่อนทำลาย ปลุกระดม ให้ชาวพุทธลุกขึ้นมา เกลียดชังชาวธรรมกาย ซึ่งเป็นชาวพุทธด้วยกัน ถือเป็นการ สร้างความแตกแยก ให้กลุ่มคนในประเทศ น่าสงสารคนไทย จำนวนมาก ที่หลงเข้าไปในทางที่เขาวางไว้ (บางกลุ่มอาจถูกจ้างเป็นหน้าม้า) ขาดสติพิจารณา ให้เขาจูงจมูก เขาชักชวนชี้นำ ให้ด่าพระ ปรบมือชอบอกชอบใจ ประจานตัวเองจากทีวี เขาพาไปลงนรก ยังไม่รู้เรื่อง ไปแสดงความขอบคุณเขาเสียอีก

จนที่สุดท่านผู้บัญชาการ สนง.ตำรวจสันติบาล ต้องมีหนังสือตักเตือนไปยัง สื่อมวลชน ต่อท่าทีการเสนอข่าววัดพระธรรมกาย เนื่องจากสื่อเข้าไปในทาง ที่จะก่อให้เกิดความ แตกแยก ของกลุ่มคนในประเทศ เมื่อ 27 พ.ค. 42 แต่ทราบข่าวมาว่า คุณหญิงสุภัตรา กลับแสดงความชื่นชมว่า "ผู้สื่อข่าวของประเทศไทย ติดอันดับโลก ในการเสนอข่าวสารที่มีอิสระ" พวกเรารู้สึก สมเพชต่อความภาคภูมิใจ ของรัฐบาลไทย เพราะเป็นความภาคภูมิใจ ที่ย้อนกลับมาทำลายประเทศของตน พวกฝรั่งประเทศที่เจริญแล้ว คงหัวเราะเยาะ เพราะเขารู้ว่า ความพอดีระหว่าง อำนาจรัฐ กับอำนาจของสื่อ ต้องอยู่ตรงไหน ประเทศจึงจะไม่ฉิบหาย ดิฉันไม่เชื่อว่า รัฐจะไม่สามารถตักเตือนสื่อได้ นอกเสียจากว่า งานล้มวัดพระธรรมกายนี้ จะมีนักการเมือง สนับสนุน อยู่เบื้องหลัง

สรุปว่า คนที่ต้องรับผิดชอบต่อสื่อมวลชนยุคนี้ ควรจะเป็นใคร ไล่ลงมาตั้งแต่คุณหญิงสุภัตรา ผอ.ช่อง 11 ช่อง 9 ซึ่งเป็นของรัฐ ซึ่งนำเสนอ "รายการตามหาแก่นธรรม" รายการ ซึ่งด่าพระสงฆ์องค์เจ้า ได้หยาบคายที่สุด ในประวัติศาสตร์ชาติไทย ในขณะที่ครั้งหนึ่ง คุณหญิงเคยออกมาพูดว่า รายการจากสถานีของรัฐ จะต้องเป็นรายการที่สร้างสรรค์สังคม รัฐจะไม่เห็น แก่เงิน ไม่มีสปอนเซอร์ ฯลฯ แล้วที่ดูแล้ว มีความพิศวาส ดร.เจิมศักดิ์ กันอย่างลึกซึ้งนั้นเป็นเพราะอะไร?

ไอ้ทิด

[หน้าหลัก] [หน้า1][วิวาทะ][ปุจฉา][พิเศษ]

1