ปีที่ 2 ฉบับที่ 734 ประจำวันจันทร์ที่ 19 เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2542
วิวาทะ
แห่ถอนเงินแบงก์ดีไหม? กรณีตำรวจนำบัญชีธนาคาร เปิดเผยต่อสาธารณะ
ความพยายามของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในการดำเนินคดีกับวัดพระธรรมกายช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีการตั้งพนักงานสอบสวน ขึ้นมารับผิดชอบดูแล คดีดังกล่าว อย่างเอาเป็นเอาตาย กันดีเดียว เหมือนกับเป็นคดีสะเทือนขวัญ ทำลายความมั่นคงของชาติ ล่าสุดมีการตั้งพนักงานสอบสวน ขึ้นมาดำเนินคดีอีก 10 ชุดด้วยกัน
การทำงานของเจ้าพนักงานตำรวจ หากมีความมุ่งมั่นดำเนินการอย่างนี้ ทุกคดี (เช่น คดียาบ้า) โดยไม่เลือกปฏิบัติ ไม่ต้องเห็นแก่หน้า ไอ้นั่นลูกรัฐมนตรี ไอ้นี่พ่อมันรวย และเป่าคดี ไปเสีย กรณีชนชั้น ชาวบ้านไร้อันดับ หรือผู้หาเช้ากินค่ำนั้นเอง
สถิติคดีปล้นจี้ ฆาตกรรม ข่มขืน ค้ายาบ้า ฯลฯ คงไม่มีจำนวนมากมายมโหฬารเพียงนี้
การติดตามผู้ที่เกี่ยวข้องกับวัดพระธรรมกาย ทั้งผู้ที่ปฏิบัติธรรม และบริจาคทรัพย์สินให้กับวัด ที่ผ่านมาดูเหมือนว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจจะให้ความสนใจเป็นพิเศษ
บางรายถูกออกหมายตรวจค้นบ้านพักกันทีเดียว
จะทำอะไรก็ได้ แต่ขอให้อยู่ภายใต้กฎหมาย
แต่การที่เจ้าหน้าที่ตำรวจออกมา ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว หนังสือพิมพ์ ทีวี วิทยุ พร้อมกับหลักฐาน ซึ่งเป็นข้อมูลส่วนตัว ของผู้ที่เกี่ยวข้อง มาตีแผ่เปิดเผยต่อ ที่สาธารณะ ถือเป็นเรื่อง ที่ไม่สมควร และไม่ชอบธรรม ด้วยกฎหมาย
ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ นำหลักฐานสำเนาบัญชีเงินฝาก ของศิษย์วัดพระธรรมกายหลายคน มาเปิดเผยต่อที่สาธารณะ
ไม่ทราบว่า เอาอำนาจใหญ่โตที่ไหนมากระทำการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ซึ่งเป็นเรื่องที่ขัดกับกฎหมายรัฐธรรมนูญไทยอย่างแน่นอน
ธนาคารพาณิชย์เองก็ตาม อย่าดีแต่บ้าจี้ เอาความลับของลูกค้าไปให้ตำรวจเปิดเผย ดีไม่ดีจะถูกฟ้องร้องดำเนินคดีได้ภายหลัง
อันที่จริงเศรษฐกิจที่มีการประมาณการณ์กว่า 6 เดือนหลังของปี 2542 เศรษฐกิจไทยจะผงกหัว ก็อย่าเพิ่งออกมาเต้นตาม หรือผงกหัวยอมรับตามคำคาดเดา ควรที่จะตั้งตน ไม่ให้อยู่ใน ความประมาทเป็นดีที่สุด
ขืนทำในสิ่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และหลักการแล้ว สังคมคงอยู่ร่วมกันด้วยยากและลำบาก
กรณีธนาคารนำความลับของลูกค้าไปเปิดเผย จึงเท่ากับว่านักการธนาคารละเมิดจรรยาบรรณในวิชาชีพของตนเอง
ถ้าลูกค้า ผู้ที่เขาได้รับความเสียหายจะออกมาเรียกร้องสิทธิตามกฎหมาย และดำเนินการสั่งสอน ธนาคารเฮงซวยเหล่านั้น ก็เป็นเหตุผลที่น่าจะเป็นไปได้
แค่ถูกเจ้าพนักงานร้องขอความร่วมมือมา ธนาคารมีสิทธิที่จะให้หรือไม่ให้ ก็ย่อมได้ แต่เมื่อให้ไปแล้ว ธนาคารมีสัญญากับ พนักงานสอบสวนหรือไม่ว่า "ห้ามนำข้อมูลความลับ ของลูกค้า ไปเปิดเผยต่อสาธารณชน"
จึงไม่แปลกอะไร หากผู้ที่เป็นลูกค้าของธนาคารผู้ไม่มั่นคงต่อมารยาท และจรรยาบรรณคนแบงก์ ช่วยกันคนละไม้ละมือถอนเงิน
ปิดบัญชีธนาคารนั้นเสีย!
ต้องเข้าใจว่า คนที่เอาเงินไปฝากธนาคาร เขาก็ต้องให้ความไว้เนื้อเชื่อใจสถาบันการเงินนั้นๆ หากธนาคารนำความลับบัญชีตัวเลขของลูกค้าไปเปิดเผย คงไม่มีใครอดทน ใช้บริการ เฮงซวยต่อไปได้
อย่าให้เขาตราหน้าว่าท่านคือเสือนอนกินเลยครับ
เพราะทุกวันนี้ ไม่ว่าสภาวะเศรษฐกิจบ้านเมืองจะพังพินาศเช่นไร ผมก็ไม่เห็นสถาบันการเงินเหล่านี้ จะออกมาเดือดร้อนใจ แทนประชาชนบ้าง อย่างมากก็แบมือ ขอให้รัฐบาล ผ่าน แบงก์ชาติมาเกื้อกูลอุดหนุน
ท้ายสุดเวรกรรมก็ตกอยู่กับชาวบ้านตาดำๆ ร่ำไป
จะมีก็แต่บีบีซี ที่เจ๊งไปแล้ว!
แต่นั้นมันก็เกิดจากคนแบงก์เห็นแก่ได้ ขาดสามัญสำนึกต่อวิชาชีพของตนเอง สุมหัวกับนักการเมืองขี้ฉ้อ ช่วยกันล้างกันผลาญ
เนี่ยแหละครับ ความไม่เอาไหน ความไม่รู้จักหน้าที่ไม่เคารพสิทธิของผู้อื่น
ยิ่งได้ยินพนักงานสอบสวนออกมาให้ข่าวว่า การที่นำบัญชีศิษย์วัดพระธรรมกายมาเปิดเผย ทำให้พนักงานทำงานลำบากขึ้น เพราะแบงก์ไม่ให้ความร่วมมือ
อยากถามพนักงานสอบสวนงี่เง่า เห็นไมค์เห็นกล้องต้องกระโดดเข้าใส่ กลัวไม่เป็นข่าว ถึงขั้นต้องเอาหลักฐานความลับ สิทธิของชาวบ้านไปเปิดเผย ละเมิดกฎหมายเสียเอง
จะมาร้องบ่นทำพระแสงอะไรกันละครับ คุณตำรวจ
สังคมควรมีสติกว่านี้ .
โซตัส