ปีที่ 2 ฉบับที่ 731 ประจำวันพฤหัสบดีที่ 15 เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2542
วิวาทะ
เรียน ท่านปยุต และผู้ร่วมขบวนการ
พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ ท่านได้เทศนาสั่งสอนพระเจ้าอโศกมหาราช จนพระองค์เลื่อมใส แล้วทรงบริจาค พระราชทรัพย์ สร้างศาสนสถานใหญ่โตมโหฬาร เป็นพุทธบูชาเป็น หลักฐาน สืบมาให้ประจักษ์ใน พระราชศรัทธาในพุทธศาสนา ถึงทุกวันนี้
ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่พุทธศาสนิกชนควรอนุโมทนาตามประสาชาวบ้าน แต่มีพระที่ถูกสร้างภาพให้วิเศษเลิศเลอ พูดอะไร เขียนอะไร ต้องถูกเสมอ เช่น พระธรรมปิฎก ซึ่งไม่ใช่ พระอรหันต์ หรือพระอริยบุคคล เช่น พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ ซึ่งประพฤติตามพระธรรมวินัย ในพระไตรปิฎก อย่างเคร่งครัด
ฉะนั้นการที่ท่านสนับสนุนให้พระเจ้าอโศกมหาราชที่ได้ทรงสร้าง ถาวรวัตถุไว้ในพุทธศษสนา ย่อมเป็นสิ่งที่ได้สั่งสอน ตามพระไตรปิฎกทั้งสิ้น เหมือนดั่งเช่น พระโมคคัลลานะ ได้ช่วยสนับสนุน การสร้างโลหะปราสาท ของนางวิสาขา แต่ไฉนพระธรรมปิฎก ผู้เป็นเพียงพระธรรมดา จึงกล้าเหยียดหยาม คำสั่งสอนของพระอรหันต์ว่า การก่อสร้าง พุทธสถาน ที่ใช้เงิน มหาศาลนั้น ไม่ถูกต้อง ตามคำสอนในพระพุทธศาสนา เท่ากับเป็น การเหยียดหยาม พระโมคคัลลีบุตรอรหันต์ ผู้รอบรู้พระไตรปิฎก จนเป็นประธาน ในการสังคายนา พระไตรปิฎกครั้งที่ 3
และนี่คือการพิสูจน์ว่า พระธรรมปิฎก ยกตนเหนือกว่าพระอรหันต์หรือไม่ จึงกล่าวบิดเบือนคำสั่งสอนในพระไตรปิฎก ในเรื่อง การก่อสร้างพุทธสถาน และศาสนวัตถุ ทำให้คน เข้าใจว่า ไม่ถูกต้องตามพระไตรปิฎก แม้ในสมัยของ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การก่อสร้างวัดพระเชต วันมหาวิหาร อ่านพุทธประวัติหรือเปล่า ใช้เงินไปกี่โกฏิกหาปนะ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็มิได้ทรงห้าม กระทั่งการถวายที่ดิน สร้างเป็นวัดเวฬุวัน อันมีเนื้อที่นับหมื่นไร่ ถวายเป็นพุทธบูชา เป็นการพูดที่ไม่อยู่ในธรรม ไม่ปรากฏเป็น พุทธพจน์ที่กล่าวอ้าง ชี้ให้เห็นถึง เจตนาบิดเบือน พระธรรมคำสั่งสอนของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยเจตนาทำลาย พระพุทธศาสนาใช่หรือไม่ โดยอาศัยการสร้างภาพ ให้สังคมยอมรับ ในคุณสมบัติของตน (ซึ่งท่านจะรู้ตัว หรือไม่ก็ตาม) พระพุทธองค์ทรงจัด บุคคลประเภทนี้ ว่าเป็นจำพวกอมิตร (บุคคลที่ห้ามคบหาสมาคม)
อเสวนา จ พาลานํ พระพุทธพจน์บทนี้ เป็นสัจธรรมโดยแท้ เพราะบุคคลที่พระธรรมปิฎก คบหา จัดว่าเป็นบุคคลอันตรายต่อ สถานบัน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ชื่อนาย ส. ไม่ว่า ไปอยู่ประเทศไหน ต้องด่าสถาบันชาติ ทั้งสามทุกทีไป ครั้งไปอเมริกา ก็ไปพูดหมิ่น พระบรมเดชานุภาพ ที่วัดไทย ในลอสแอนเจอลิส ถูกจับตัวส่งกลับมา เข้าคุกเมืองไทย ได้นักการเมือง ขอพระราชทานอภัยโทษ ออกจากคุณมา ไม่งั้นคงติดคุกหัวโตไปแล้ว (อย่าได้บอกนะว่า นักการเมือง ที่มีความสัมพันธ์กัน ลึกซึ้งค้นนั้น ชื่ออะไร อยู่พรรคไหน)
นาย ส. ได้จัดตั้งกลุ่ม ษิตเสวนา ซึ่งมีอุดมการณ์เป็นอันตรายต่อความมั่นคง ที่ได้รับเงินทุนจากองค์กรต่างประเทศ ประชุมแลกเปลี่ยนแผนงาน และรับงาน โดยใช้ร้านศึกษิต สยาม ของตน เพื่อต้องการเข้าแทรกซึม และเผยแพร่อุดมการณ์ เข้าสู่พระพุทธศาสนา นาย ส. ซึ่งได้หลอกใช้เจ้าคณะจังหวัดธนบุรี และเจ้าคณะหนเหนือ (ในสมัยนั้น) เป็นเครื่องมือ ดำรง สมณศักดิ์เป็น พระศรีวิสุทธิโมลี ทำหน้าที่องค์ปาฐก เผยแพร่อุดมการณ์ดังกล่าว ภายใต้มูลนิธิคีมทอง (เป็นมูลนิธิที่ตั้งขึ้นมา ภายใต้ชื่อของสมาชิก ศึกษิตเสวนา ซึ่งได้ปะทะกับ เจ้าหน้าที่ฝ่าย รักษาความมั่นคง และถูกยิงเสียชีวิต ในเขตปฏิบัติการสุราษฎร์ธานี)
มูลนิธิโกมลคีม ได้รับเงินสนับสนุนจากองค์การคริสเตียนและองค์กรต่างประเทศ ส่วนนายเถียง (ขณะยังเป็นพระภิกษุ) ได้ถูกชักนำให้เข้าร่วมขบวนการนี้โดย นาย ส. ทั้งยังเป็น ผู้ติดต่อ ประสานงานสถานศึกษา ให้ที่ประเทศอังกฤษ ส่วนนายเจิงสาก เข้าสู่ขบวนการนี้ ประมาณปี 2524 หลังกลับจาก ประเทศรัสเซีย ส่วนพระวิสาโล (ซึ่งเป็นแกนนำ ทำพิธีปัพพา ชนียกรรม ที่วัดสวนแก้ว) เข้ามาประมาณปี 2526 พระธรรมปิฎกนั้น เนื่องจากทางคณะสงฆ์ มองเห็นอันตราย จึงไม่ให้เป็น เลขาธิการ มหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลัยต่อ (มหาวิทยาลัย สงฆ์ไทย) เพราะเกรงว่า จะเผยแพร่อุดมการณ์ อันเป็นอันตรายต่อ ความมั่นคง จึงให้เป็นเจ้าอาวาส อยู่นอกเขตกรุงเทพฯ และไม่มีตำแหน่ง ทางการบริหารใดๆ ตลอดมา
พระธรรมปิฎก จึงต้องแสวงหาที่เผยแพร่อุดมการณ์ทุกวิถีทาง จึงใช้มูลนิธิธรรม เป็นตัวนำหน้า ซึ่งพิมพ์หนังสือของพระธรรมปิฎก ออกแจกจ่ายมาตั้งแต่ปี 2530 ครั้งยังมี ตำแหน่ง เป็นพระเทพวาที ขณะเดียวกัน ก็พยายามเขียนบทความ ลงในหนังสือนิตยสาร ซึ่งเป็นของนาย ส. ตลอดมา และชักนำเอา พระศรีปริยัติเข้าร่วมงาน และปัจจุบัน (2542) พระศรีปริยัติ ได้รับตำแหน่งเป็น ประธานฝ่ายบรรพชิต ของนิตยสารนั้น ในด้านของพระธรรมวาที เข้าสู่ขบวนการนี้ เนื่องจากการชักนำของ พระธรรมปิฎก ถ้าหากท่านผู้อ่าน หนังสือร่มโพธิ์แก้ว (วารสาร เผยแพร่อุดมการณ์ ของพระไม่ยอม) เปิดหน้าบรรณาธิการ อ่านรายชื่อ จะเห็นมีอยู่ครบครัน เรียงตัวบุคคลทีเดียว)
การขยายเครือข่าย และการดำเนินงานของขบวนการนี้เฉียบคมและแยบยล แทรกตัวเข้าสู่วงการธุรกิจ การเมือง การศึกษา และสังคมแทบทุกชั้น ไม่เว้นกระทั่งทารก โดยที่
1. โดยต้องการเอาเด็กเหล่านี้มาเลี้ยงดู และล้างสมอง ใช้ให้เป็นตัวแทนทางความคิดและการเคลื่อนไหว ในทางการเมืองและศาสนา ในอนาคต ซึ่งเป็นการง่ายกว่า การแทรกซึม ในกลุ่มเยาวชน ที่พ่อแม่สมบูรณ์พร้อม ตามปัจจุบัน ที่เผยแพร่ทาง โรงเรียนศาสนาต่างชาติ ซึ่งวิธีการนี้เรียกว่า Clean up Stucture (โดยจัดตั้งมูลนิธิเด็ก ซึ่งได้รับเงินช่วยเหลือ จากมูลนิธิ คีมทอง)
2. จากการเกาะติดซึมลึกของขบวนการนี้เอง ทำให้พระธรรมปิฎกสามารถแก้ไขพระไตรปิฎกได้สำเร็จ ซึ่งทางมหาวิทยาลัยมหิดลอาจรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ได้ (ซึ่งทุกวันนี้ ทุกสถาบัน อุดมศึกษาก็ยังใช้อยู่)
3. สิ่งที่พิสูจน์ได้ชัดถึงความฉ้อฉลได้อย่างยิ่ง คือที่มาของเงินซึ่งกลุ่มผู้สนับสนุนพระธรรมปิฎก ได้นำเงินที่ได้มาจัดรายการโทรทัศน์ 20 นาทีทุกช่องทุกวัน เป็นเวลา 2 ปีกว่า (คิดง่ายๆ ขั้นต่ำ ช่อง/ครั้ง 100,000 มี 6 ช่อง คือ 600,000 บาท ต่อวัน 2 ปี = 730 วัน = 600,000) รวมเป็นเงิน 438,000,000 บาท ถามว่าไปเองเงินที่ไหนมา และจุดประสงค์ทำเพื่ออะไร ถ้าไม่ใช่การ สร้างภาพให้สังคมยอมรับ
4. อีกทั้ง VDO โปรโมทพระธรรมปิฎก ก็ถูกจัดทำโดยมูลนิธิเด็ก (ซึ่งไม่ใช่องค์กรทางศาสนา) เป็นการแสดงให้เห็นว่า มีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง ในขณะเดียวกน จัดรายการ "ธรรมะร่วมสมัย" ทางวิทยุ วันละ 2 ชั่วโมง ทุกวันไม่เว้นวัดหยุด แถมยังมี INTERNET อีกด้วย (ทางสถานีบอกว่าการกุศล ฟรี) แต่จากการตรวจสอบด้านการข่าวพบว่า จัดโดย มูลนิธิธรรม โดยมี ผอ.สำนักข่าวไทยให้การสนับสนุนทุกรูปแบบ ข้อนี้ท่านผู้อ่านพิสูจน์ได้ง่ายๆ ครับ)
ธรรมดารายการทุกรายการต้องมีโฆษณา แต่รายการนี้ ฟังดูแล้วคิดว่าไม่มีโฆษณา ไม่จริง เพราะคำว่า
"สัพพทานัง ธัมมทานัง ชินาติ" จะต้องพูดทุกครั้งเมื่อเริ่มรายการ คำที่ว่านี้ เป็นสุภาษิตที่มูลนิธิธรรมครับ ส่วนนายสำแดง ปัจจุบันสมาชิกพรรคการเมือง (เดิมบวชเป็นพระภิกษุ ได้ เปรียญ 9 ประโยค) ซึ่งขณะนี้เป็นอาจารย์สอนประจำอยู่ในวิทยาลัยแสงธรรม นครปฐม (วิทยาลัยผลิตสามเณร และบาทหลวงของคริสเตียน ซึ่งขึ้นตรงกับสำนักวาติกัน) ได้ถูกถึงเข้ามา ร่วมเป็น ผู้บรรยายประจำในรายการวิทยุนี้ด้วย
ฉะนั้น จึงไม่เป็นการแปลกที่ เมื่อท่านเปิดรายการนี้ จะได้ยินการโจมตีระบอบการปกครองคณะสงฆ์บ้าง พระเถรานุเถระบ้าง ตลอดมา แต่จะยกย่องเชิดชู บุคคลที่เป็นผู้ร่วม รายการนี้ทั้งสิ้น และผู้ร่วมขบวนการ จะต้องมีหน้าที่โจมตี มหาเถรสมาคม เป็นงานหลักตลอดมา สิ่งที่น่ามหัศจรรย์ที่สุดก็คือ ขบวนการนี้อ้างตนว่า ปกป้องพระพุทธศาสนา แต่ไม่เคยมีการ รณรงค์ ให้มีพระพุทธศาสนา เป็นศาสนาประจำชาติ ทั้งๆ (นายแพทย์นายหนึ่ง เป็นผู้รณรงค์ให้มีประชาธิปไตยแท้ๆ แปลกไหมละครับท่าน? ) เป็นอย่างไรครับ อ่านแล้ว ถึงบางอ้อหรือยังว่า ทำไมขบวนการนี้จึงโจมตี "วัดพระธรรมกาย" เพียงเพื่อเป็นข้ออ้าง ในการทำลายระบอบ การปกครองสงฆ์ไทย และมีผลประโยชน์ คือเงินก้อนใหญ่ แอบแฝงอยู่เบื้องหลัง โดยขบวนการนี้ จะนำเอาสมาชิกของตน เข้ามาปกครองสงฆ์ (ซึ่งเป็นการผิดพระธรรมวินัย เนื่องจากแม้ภิกษุณี ศีล 311 ข้อ พระพุทธเจ้ายังทรงห้าม มิให้ภิกษุณีด่าว่า หรือสั่งสอนพระภิกษุ แล้วคนที่ศีล 5 ไม่ครบ จะถือฐานะอะไร ในการปกครองพระสงฆ์ ซึ่งจะควบคุม ประโยชน์ของวัด ทั้งประเทศ และพระภิกษุที่ร่วม ก็จะได้ตำแหน่ง และผลประโยชน์ไปโดยอาศัย พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ที่พรรค พวกของตนแอบร่างไว้
จึงไม่แปลกว่า ทำไมหนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับ ลงข่าวเหมือนกัน อย่างกับลอกกันมา และหาความจริงไม่ได้ แม้ขณะนี้ จะหาข้อความผิดทั้ง ทางพระธรรมวินัย และทางกฎหมาย กับ วัดพระธรรมกายไม่ได้ แต่ก็ยังต้องการ เปลี่ยนระบอบการ ปกครองคณะสงฆ์อยู่ดี คิดดูนะครับว่า รายได้วัดโสธร วัดไร่ขิง วัดพระปฐมเจดีย์ วัดสวนแก้ว วัดพระเชตุพนธ์ วัดตึก วัด พระพุทธบาท วัดพระธาตุดอยสุเทพ มีรายได้ปีๆ เท่าไร เงินเหล่านี้ จะถูกควบคุมโดยบุคคล ในขบวนการเหล่านี้ แต่ตั้งเข้ามาเป็น ผู้ได้รับผลประโยชน์ทั้งสิ้น แม้กระทั่งที่ดินของวัดเอง เจ้าอาวาส ก็ไม่มีสิทธิ เพราะพวกเขียน กฎหมายใหม่เปลี่ยนหมด นี่นะหรือครับ ที่เรียกว่า ไม่ได้ติดวัตถุ ท่านธรรมปิฎก และที่สำคัญ ท่านก็ไม่ยอมรับกฎหมาย และรัฐธรรมนูญ อันเป็น กฎหมาย สูงสุดของชาติ ทั้งๆ ที่ทุกๆ คนไม่ว่าเป็นคฤหัสถ์ หรือพระภิกษุในชาติไทย ต้องอยู่ใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญทั้งสิ้น
แสดงว่าท่านธรรมปิฎก ไม่เคยคิดว่าตนเองเป็นคนไทยกระมัง โจรที่ตัดเศียรพระ เราก็ว่ามันร้ายแล้วนะ เป็นมารศาสนา แต่มันก็ยังเหลือสมบัติให้กับวัดไว้บ้าง แต่ขบวนการนี้ วางแผนใช้พระ เป็นทาสหาเงินให้ใช้ แถมยังยึดอำนาจ มหาเถรสมาคม อีกต่างหาก (หากว่าไม่จริงเอาร่าง พ.ร.บ.มาดูกันทีละมาตราไหมล่ะ? ขอดูได้ที่ กรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ โดยใช้ พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสาร)
ดังที่กล่าวมาแล้วแต่ต้น แม่เหล็กย่อมดูดเหล็ก ไม่ดูดทองฉันใด คนเลวก็ไม่สามารถทำดีได้ฉันนั้น แม้พระพุทธองค์ยังทรงไม่รับเข้า ในศาสนา แล้วพุทธบริษัทชาวไทย จะรับไว้ใน ประเทศได้อย่างไร ประเทศนี้ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ เป็นองค์พระประมุข มีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด ธรรมวินัย ท่านก็บิดเบือนจาบจ้วง กฎหมาย ท่านก็ไม่สน เห็นจะต้องเดือดร้อนให้ สตม.ดร.สั่งปิดทุกด่าน ที่จะต้องเดินทาง ออกนอกประเทศ อำนวยความสะดวก ให้พระธรรมปิฎก พาขบวนการและลูกพี่ ย้ายฐาน ออกนอกประเทศ เพื่อหาที่อยู่ใหม่ อันสามารถเขียนพระธรรมวินัยท ี่ท่านเป็นศาสดาเอง และตั้งกฎหมายปกครองประเทศเอง ด้วยความสมัครใจ ก่อนที่ชาวพุทธไทยจะต้องกลายเป็น "ขุนเดข"
มหาชาย
ไอ้ทิด