ปีที่ 2 ฉบับที่ 716 ประจำวันพุธที่ 30 เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2542

วิวาทะ

เจ้าคณะจังหวัดปทุมฯ เหยื่อล่าสุดของกรมการศาสนา

ในที่สุดเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี พระสุเมธาภรณ์ ก็เป็นเหยื่อรายล่าสุด ในฐานะผู้ที่มีอำนาจหน้าที่ รับผิดชอบ วินิจฉัยความผิด พระราชภาวนาวิสุทธิ์ และวัดพระธรรมกาย

ความผิดของเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี ถึงขั้นที่คนในกรมการศาสนา นำมาเป็นประเด็นตำหนิติเตียน การทำงานของท่าน ด้วยถ้อยคำที่รุนแรง

ไม่ว่าจะเป็นความรู้แค่ ป.4 หรือหยามหมิ่นว่า ท่านไม่มีความกล้าหาญ ในการชี้ผิดวัดพระธรรมกาย เกรงกลัวเจ้าอาวาส วัดพระธรรมกาย ทั้งที่มีพรรษามากกว่า

รวมถึงความเห็นเดิมๆ ที่ว่าพระแก่ๆ ทำงานล่าช้า 1 เดือนผ่านไปไม่เห็นมีอะไรคืบหน้า

ความรู้สึกไม่สบอารมณ์ต่อการทำหน้าที่ของพระผู้ใหญ่ ล้วนแต่เป็นวังวนเดิมๆ ที่พระเถระที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เข้าไปพิจารณา วัดพระธรรมกาย ถูกฆราวาสหัวดำ หัวหงอก ตำหนิติเตียน มาแล้วทั้งสิ้น

ชัดเจนที่สุดก็คือ ไม่ทันอกทันใจของคนใจร้อนๆ

ทุกคนอยากเห็นสถาบันพระศาสนาบริสุทธิ์ผุดผ่อง

เป็นเรื่องที่ถูกต้องดีงามแล้ว

แต่การใช้ความรู้สึกส่วนตัวเข้าไปตัดสิน เห็นทีจะใช้ไม่ได้อย่างแน่นอน

สังคมเรียกหาแต่ความยุติธรรมด้วยกันทั้งนั้น กรณีวัดพระธรรมกาย ผู้ที่ออกมากล่าวหา ยืนยันได้หรือไม่ว่า เราได้ให้ความยุติธรรม กับวัดพระธรรมกายแล้ว

จะเป็นไปได้อย่างไร ที่ศาลสงฆ์จะพิจารณาความผิด ของวัดพระธรรมกาย โดยเฉพาะตัวเจ้าอาวาส   ตัดสินประหารชีวิตด้วยอาบัติปาราชิก โดยที่ไม่ได้ผ่านขั้นตอน ของคณะปกครอง สงฆ์ที่มีอยู่

จากประเด็นนี้ทำให้เห็นว่า กลุ่มบุคคลที่เข้าไปก้าวก่ายการทำงานของคณะปกครองสงฆ์ มีเจตนาดีร้ายเพียงใด

คุณอาคม เอ่งฉ้วน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะผู้ดูแลกำกับกรมการศาสนา ต้องหนักแน่นกว่านี้

บทบาทของท่านรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่มีพระลิขิตออกมา คุณอาคม เอ่งฉ้วน ก็ยังแสดงความมึนงงๆ กับพระลิขิต และมีความเห็นว่า ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่ สมเด็จพระสังฆราชฯ จะทรงมี พระลิขิต หรือพระบัญชาทำนองนั้น

ท่านรัฐมนตรีพูดออกมาชัดเจนว่า น่าจะเป็นฝีมือของทีม "ห้องกระจก"

แม้แต่พระราชรัตนมงคลเลขาธิการในสมเด็จพระสังฆราชฯ เอง ท่านก็ปฏิเสธในเบื้องต้นว่า ไม่มีส่วนรู้เห็นกับพระลิขิตนั้น แต่อย่างใด

ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว การออกพระบัญชาหรือพระลิขิต เป็นหน้าที่ของเลขาธิการในสมเด็จพระสังฆราชฯ

แต่จู่ๆ พระราชรัตนมงคล ท่านก็ออกมายืนยันกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ หลังจากที่มีกระแสเรียกร้องให้มีการตรวจสอบที่มาที่ไปของพระลิขิตว่า "เป็นของจริง"

ความไม่ปกติธรรมดาดังกล่าว นำมาซึ่งประเด็นร้อนแรงในสถาบันสงฆ์ไทย และมีท่าทีจะร้อนแรงขึ้นไปทุกขณะนี้

สื่อมวลชนต่างพากันแอบอ้างนำพระลิขิตมาเป็นเครื่องมือหากิน ชนิดไม่เกรงกลัวนรก

พูดได้เต็มปากเต็มคำว่า "ไอ้แว่น" นายไชยบูลย์ ถอดถอนสมณศักดิ์ ซึ่งเป็นของสูง จึงเป็นการแอบอ้างสถาบัน อันที่พุทธศาสนิกชนเทิดทูน ไปหากินเลี้ยงชีพ อย่างน่าละอายยิ่ง

ขณะเดียวกัน กรมการศาสนา และท่านรัฐมนตรี ก็นำเอาเรื่องไม่ปกติธรรมดา มาเป็นประเด็นฟ้องร้อง บีบบังคับขู่เข็ญให้ เจ้าอาวาสโอนที่ดินให้กับวัด

หากมองในแง่กฎหมายการดำเนินการดังกล่าวผิดเต็มประตู ถือเป็นอาญาแผ่นดินทีเดียว

การหยิบยกสิ่งที่บิดเบี้ยว มาเป็นประเด็นทำลายล้างกันนั้น เป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายจะต้องตระหนักให้ถ้วนถี่ โดยเฉพาะสื่อมวลชน

ขอให้ทุกฝ่ายเข้าใจด้วยว่า สมเด็จพระสังฆราชฯ พระองค์จะไม่ทรงทำสิ่งใด เพื่อนำไปสู่ความแตกแยกของหมู่สงฆ์ อย่างเด็ดขาด

พระสุเมธาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี วินิจฉัยไม่รับฟ้องปัญหาที่ดินในจังหวัดสุพรรณบุรี และไม่รับฟ้อง คุณมาณพ พลไพรินทร์ ผู้เชี่ยวชาญกรมการศาสนา

เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว !

เพราะในคำฟ้องนั้น มีปมประเด็นมาจากเรื่องบิดเบี้ยวข้างต้น แค่คำกล่าวหาโจทก์ว่า อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย หรือนายไชยบูลย์

เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี ก็ไม่มีอำนาจที่จะฟ้องหรือดำเนินการกับใครได้

ในเมื่อราชทินนามสมณศักดิ์ของท่าน ยังไม่ถูกถอดถอน อีกทั้งตำแหน่ง เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ก็ยังคงอยู่ พระราชภาวนาวิสุทธิ์ ยังคงเป็นเจ้าอาวาส วัดพระธรรมกายอยู่

ที่สำคัญวัดแห่งนี้ ก่อตั้งมา มีอายุถึง 29 ปีแล้ว มีเจ้าอาวาสเพียงหนึ่งเดียว คือพระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ธัมมชโย) เป็นปฐมเจ้าอาวาส

ดังนั้นจึงไม่มีอดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ตามคำกล่าวหาของ ผู้มีจิตวิปลาสเข้าใจ

สุดท้ายเรื่องที่น่ายินดี สำหรับสถานีโทรทัศน์ไอทีวี (ไม่ใช่เรื่องของความแตกแยกในไอทีวี) แต่ที่จะพูดถึงคือ เรื่องของผู้ประกาศข่าว เริ่มเข้าใจถึงปัญหาพระศาสนาได้ดีขึ้น จึงไม่หลุดคำว่า อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย หรือนายไชยบูลย์ สาธุ สาธุ …..

โซตัส

[หน้าหลัก] [หน้า1][วิวาทะ][ปุจฉา]

1