ปีที่ 2 ฉบับที่ 709 ประจำวันจันทร์ที่ 21 เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2542
วิวาทะ
สังคมโหยหาความโปร่งใส....
ไม่ใช่วิสัยของคนเขียนหนังสือที่จะเขียนถึงตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นด้านบวชหรือด้านลบ
วันนี้เจ้าของพื้นที่ตรงนี้ ถูกยึดสัมปทานไปแบบเจ้าของไม่รู้เนื้อรู้ตัว
คนเข้ายึดพื้นที่ตรงนี้ อยู่ในฐานะที่ "โซตัส" เกรงอกเกรงใจ จะเป็นเพราะอะไรยากที่จะเดา
เกรงใจเพราะเห็นเป็นคนแก่ฟันหัก ผมหงอกหรืออะไรที่มากมายไปกว่านั้น เป็นไปได้ทั้งนั้น
เมื่อเขียนถึงโซตัสก็ต้องผนวกเอาไอ้ทิดเข้าไปด้วย ไอ้ทิดเจ้าของคอลัมน์ ปุจฉา-วิสัชนา ที่คนติดตามอ่านกันทั้งบ้านทั้งเมืองนั่นแหละ
สองคนนี้เป็นหนึ่งในหลายๆ ชีวิตของพิมพ์ไทย ที่ช่วยกันแต่งแต้มสีสัน ช่วยกันวาดช่วยกันพาย นาวาลำนี้ ทวนกระแสสื่อ ที่รวมหัวกัน กระหน่ำ วัดพระธรรมกาย ตลอดจนบุคลากรน้อยใหญ่ของวัด ให้ย่อยยับ ต่อเนื่องยาวนานมาครึ่งปีกว่าเข้าไปแล้ว
ประกอบกับสังคมไทยผู้บริโภคสื่อ ไม่รู้ว่าเลือกสรรเนื้อข่าวกากเดนข่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สื่อสิ่งพิมพ์ที่นิยมแปลงสารผู้อ่าน จะเชื่อไป ตามนั้นทั้งหมด
มีตัวอย่างให้เห็นมามากต่อมาก
พรรคประชากรไทยของ สมัคร สุนทรเวช เป็นบอนไซ เพราะสื่อออกหนังสือพิมพ์เดลี่มิเรอร์ หวังแก้เกม ก็ไปไม่รอด แค่หาที่จะวางบนแผง สักกระผีกก็หมดสิทธิ์
รัฐมนตรีบางคนโดนพิษสื่อถึงกับถูกปลด คนดีๆ อีกหลายคนในสังคมไทยถูกปู้ยี้ปู้ยำ นำเสนอข่าวผิดๆ จนไม่กล้าโผล่หน้า สู่สังคมก็มี อีกเยอะ
โธ่! ขนาดรัฐบาลสื่อยังล้มมาแล้วกับมือ นับประสาอะไรกับวัด
วัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคลากรของวัด ก็คือพระนั่นแหละ มีความอ่อนแอเปราะบางโดยธรรมชาติ
หากมีใครบ้าขึ้นมาสักคนบอกว่า สมภารต้องอธิกรณ์หนัก ข้อหาปาราชิก ล่อสีกา ลักของสงฆ์ เพียงเท่านี้แหละตายแล้ว ตายอย่างคางคก ข้างถนนไม่มีผิด
พอจะแก้ตัวเข้าหน่อย ก็หาว่ากินปูนร้อนท้อง
พระนั้นสูงส่งก็จริง แต่พอจะตีราคาออกมามีค่าแค่บาทเดียว ไม่ต้องไปเพิ่มราคาเป็น 5 มาสก เท่ากับ 300 บาท อย่างที่เป็นข่าวชวนหัว ให้เมื่อยมือ
เรื่องผู้หญิงยิ่งแล้วใหญ่ เอาเพียงเขาว่าเท่านั้นแหละ กลิ่นเน่าเหม็นเริ่มโชยทวนลมเข้าแล้ว จากปากต่อปาก จากปากคนไปเป็นปากกา จะเท็จจะจริงไม่รู้ ตายลูกเดียว
ดีว่าที่นี่คือวัดพระธรรมกาย สมภาค รองสมภาค ตลอดจนคนวัด มีความมั่นคงในพระศาสนา แม้จะถูกสั่นคลอน แต่พร้อมใจกันไม่หวั่นไหว ถ้าเป็นที่อื่น วัดอื่น เรื่องจบไปนานแล้ว
กระนั้นก็ตาม เฉพาะที่วัดพระธรรมกาย ชี้ชัดลงไปได้เลยว่า วางแผนผิด ผิดที่คิดว่าใช้ความนิ่งสงบสยบข่าว "อัปมงคล"
ความนิ่งสงบนี่แหละ เข้าทางมือทางเท้าเขาเลย พวกเลยพากันเล่นแรงแบบให้หายสูญไปจากโลกนี้เลยทีเดียว
สมภารวัดพระธรรมกาย นั้น อุทิศชีวิตเพื่อพระศาสนา ทรงสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะผู้ใหญ่ถึงชั้นราช สมณศักดิ์นี้ได้โดย พระบรม ราชโองการ โปรดเกล้าฯ แต่ก็ถูกพวกพาลลากลงไปอัดไปเตะยิ่งกว่าลูกบอล เรียก "ไอ้" บ้าง "นาย" บ้าง "เดียรถีย์" บ้าง สื่อถอดยศปลดจาก ตำแหน่งสมภาคให้เสร็จ
นั่นคือการหมิ่นแคลนสายพระเนตรพระกรรณองค์พระมหากษัตริย์ พระองค์ทรงเห็นว่าดี เหมาะสมจึงโปรดพระราชทานสมณศักดิ์ ลงมา เพื่อรับเป็น ภาระธุระในพระศาสนา
บ้านเมืองนี้มีกฎหมายรัฐธรรมนูญคุ้มครองสิทธิเสรีภาพความเป็นมนุษย์ บ้านนี้เมืองนี้มีศาลสถิตย์ยุติธรรมไว้พิพากษา และเชื่อว่าบ้านเมือง นี้คือ ประเทศไทยของเรานี่แหละ มีสาธุชนมากกว่าพาลชน
ฟ้องมันซี ฟ้องมันเข้าไปทุกเรื่อง ทุกกรณีที่สื่อเสนอแบบเอามันเข้าว่า สื่อที่ไม่นำเสนอข้อเท็จจริง
ชั่วโมงนี้ตั้งรับไม่ได้แล้ว ต้องรุกเท่านั้น
นอกจากจะเป็นการปราบสื่อที่ลืมหรือทำเป็นลืมหลักการของความเป็นสื่อแล้ว ยังจะเป็นการให้สติแก่ผู้เสพสื่อไปในตัว และจะเป็นบรรทัด ฐาน ในการปกป้องพระพุทธศาสนา และศาสนบุคคลในพระศาสนาอีกทางหนึ่งด้วย
กลับมาที่โซตัสกับไอ้ทิด
แฟกซ์ก็ตาม โทรศัพท์ก็ตาม หรือจดหมายรวมทั้งอีเมล์ด้วย ตลอดทั้งผู้ที่สละเวลาไปพูดคุยด้วย ที่สำนักงานมีบทสรุปคือ มีทั้งคำด่าคำชม
เอาเถอะคำชมคือยาหอมชะโลมให้หัวใจพองโต แต่คำด่าที่ลามปามไปถึงพ่อถึงแม่ที่ไม่รู้เรื่องอะไรด้วยนั้น หนักไปหน่อย ไม่ถึงกับ เป็น ยาพิษ ปลอบใจตัวเองว่าเป็นยาขม ขมเป็นยา (วิเศษ) นั่นแหละ
คำด่าหลายๆ คำ เก็บไว้เพียงลำพังมันสร้างความอึดอัดให้แก่เจ้าตัวมากๆ เช่น "มึงเชียร์วัดพระธรรมกายได้เงินกี่ล้าน มีได้ที่ดินกี่แปลง มึงขี่รถยี่ห้อดังจากยุโรป"
ย้ำอีกทีว่า ไม่ใช่วิสัยที่คนเขียนหนังสือ จะเขียนถึงตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นด้านลบหรือด้านบวก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับผลประโยชน์
ด้วยความหนักแน่นไม่หวั่นไหวในคุณพระรัตนตรัยด้วยชีวิต และดวงใจที่มีศีลห้าเป็นอาภรณ์ (ข้อ 4 มุสาวาท) สองสามบรรทัดต่อไปนี้ เป็นความสัตย์ความจริง
โซตัสและไอ้ทิดเป็นคนรุ่นหนุ่มไฟแรง ทั้งสองคนยังอาศัยอยู่บ้านเช่า บางเดือนติดค้างค่าเช่าต้องผ่อนให้คนหนึ่งขี่มอเตอร์ไซค์เก่าๆ มาทำงาน เครื่องติดบ้างไม่ติดบ้าง ต้องลุ้นกันอยู่เป็นประจำ อีกคนขี่เก๋งเก่าปุปะซื้อผ่อนมือห้าไฟหน้าแตก ต้องใช้เทปปิดยึดไว้ กินเงินเดือน เดือนละไม่กี่บาท อยู่กินอย่างสมถะ ไม่ถึงกับอดมื้อกินมื้อ
นี่คือชีวิตจริงของโซตัสและไอ้ทิด
ถามว่า ทำไมจึงมาจับงานเขียนแบบต้านกระแสสื่อ จนคนเข้าใจผิดๆ ว่า รับอามิสเข้าแล้ว
ทั้งสองหนุ่มตอบคำถามนี้อย่างเหนียมอายว่า กำลังจะเปลี่ยนงานทำใหม่ในเร็วๆ นี้ เมื่อทุกอย่างลงตัว
ทั้งโซตัสและไอ้ทิดเคยบวชพระมาแล้ว อีกคนเป็นชายมากกว่า 3 โบสถ์ อีกคนโบสถ์เดียวก็ปาเข้าไปเกือบ 1 ปี ดื่มด่ำในรสพระธรรม รู้เส้นทางของบาปบุญอย่างล้ำลึก เห็นวัดพระธรรมกายถูกรังแก เห็นสื่อขาดจรรยาบรรณ มองไปรอบๆ ตัวเห็นสังคมฟอนเฟะ เห็นศาสนสถาน ส่วนใหญ่ ไม่พร้อมที่จะเป็นเบ้าหลอมเยาวชน ให้เป็นกัลยาณชนได้ เห็นรัฐมุ่งแก้แค่ปัญหาปากท้อง ไม่เห็นปัญหาสังคมเป็นเรื่องใหญ่ เห็นกระแสโลกาภิวัตน์ ท่วมทับจริยธรรม และศีลธรรมของชาติ
วันนี้จึงมีโซตัสและไอ้ทิด
อะไรในโลกนี้ล้วนแต่ถูกครอบงำด้วยไตรลักษณ์ คือไม่มีอะไรแน่นอนยั่งยืน ชั่วโมงนี้หนุ่มทั้งสอง มุ่งมองไปในทิศทางเดียวกันกับ วัดพระธรรมกาย ตามคำตอบข้างต้น วันข้างหน้าหากวัดพระธรรมกายเดินผิดทาง เขาพร้อมที่จะอยู่คนละฟากทันที
ลองดูไหมล่ะ....?
ปู่โอม (แทนโซตัส)