ปีที่ 2 ฉบับที่ 703 ประจำวันอังคารที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2542
วิวาทะ
คุยเรื่องธรรมกายด้วยอารมณ์กฎหมายและคุณธรรม
เรื่องพระราชภาวนาวิสุทธิ์ (พระธัมมชโย) เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย กำลังเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมายแล้ว ท่านรัฐมนตรี อาคม เอ่งฉ้วน พูดเสียงดังฟังชัด
เรื่องสีกา เรื่องกรีนการ์ดสันชาติอเมริกันชนของพระธัมมชโยดังไปทั่วโลก แท้จริงแล้วก็คือยุทธการโกหกคำโต ล่าสุดเห็นบอกว่า เข้าสู่ กระบวนการทางกฎหมาย เจ้าอาวาสจะไปไหนมาไหนก็ได้ แต่ถ้าไปต่างประเทศต้องขออนุญาต จะขออนุญาตใคร ในเมื่อท่านมีกรีนการ์ด ไม่ใช่หรือ...!!!
การโหมกระพือข่าวเพื่อให้ดำเนินไปสู่ความขัดแย้งทางความคิด และอาจรุนแรงถึงขั้นสงครามทางศาสนา ถึงวันนั้นจะมีใครออกมา รับผิดชอบบ้าง
โดยเฉพาะสื่อมวลชนที่แอบอ้างปกป้องประมุขสงฆ์ สถาบันพระศาสนา รวมถึงตัวพระภิกษุที่ออกมาเป็นตัวตั้งตัวตี รักษาพระธรรมวินัย ด้วยชีวิต
จึงเป็นแนวคิดที่โง่งมที่สุด เพราะหากเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าแล้ว ผู้ถือศีล 227 ข้อ จะต้องนำหลักธรรมะมาพิจารณา ไม่ใช่นำหลักวิชาการ มาเข่นฆ่าผู้อื่นอย่างไร้มนุษยธรรม
ผมจึงไม่อาจมองบุคคลเหล่านี้เป็นผู้ที่หวังดีต่อพุทธศาสนาได้อย่างสนิทใจเสียแล้ว
วกกลับมาเรื่องที่ดินอสังหาริมทรัพย์ที่ภิกษุสงฆ์ได้รับบริจาคจากญาติโยม และกำลังเป็นปัญหาร้อนแรงอยู่ในขณะนี้
ก่อนอื่นต้องขอแสดงความเศร้าสลดใจกับสภาทนายประเทศไทย ยุคที่มีคนชื่อ "สัก กอแสงเรือง" เป็นนายกสภาฯ
ต้องกระตุกกันบ้างแล้ว คงไม่ถึงกับต้องมาฟ้องร้องกัน...
คุณสักหยุดสร้างภาพได้แล้ว ชาวบ้านเขาเหม็นขี้ฟันนักการเมืองน้ำเน่ามามากแล้ว คุณสักกำลังกำหนดบทบาทของสภาทนายความ ให้มันเน่าเหม็น พอกับนักการเมืองน้ำเน่ากระนั้นหรือ
ผมไม่อยากพูดถึงที่ไปที่มาของตำแหน่งนายกสภาทนายความ ที่คุณสัก นั่งเสวยอำนาจอยู่ เพราะในวงการทนายความ เขารู้จักคุณสักดี ทั้งนั้น
เอาล่ะ ผมไม่ชวนคุณสักทะเลาะ ไหนๆ ก็ไหนๆ เรามาพูดถึงบทบาทของสภาทนายความดีกว่า พ.ร.บ. ทนายความ พ.ศ.2528 มาตรา 78 บัญญัติไว้ดังนี้
"ประชาชนผู้มีสิทธิ์ได้รับความช่วยเหลือทางกฎหมาย ต้องเป็นผู้ยากไร้ และไม่ได้รับความเป็นธรรม"
แต่วันนี้สภาทนายความกำลังทอดทิ้งหน้าที่อันทรงเกียรติ ซึ่งมีกฎหมายตรารับรองอยู่หรือไม่?
ผมสับสนกับบทบาทของสถาบันแห่งนี้มาก โดยเฉพาะการที่สภาทนายความออกมาเสนอหน้าให้ความช่วยเหลือกับครอบครัวของ นางสาลี่ เพ็ชร์ชูดี กล่าวหาวัดพระธรรมกายต้มตุ๋น กรณียกที่ดินให้วัดแต่กลับเป็นการซื้อขาย
ซึ่งความจริงหตุผลการฟ้องร้องของคนตระกูลนี้ มีอะไรไม่ปกติ เพราะมีสัญญาซื้อขายกันอย่างชัดเจน ทั้งพยานบุคคลและหลักฐาน การ ชำระเงินเป็นวงเงินสูงเกือบ 5 ล้านบาท จากการขายที่ดินให้มูลนิธิธรรมกาย จำนวน 2 ไร่ 3 งาน 94 ตารางวา ตกแล้วไร่ละ 1.7 ล้านบาท
แม้นางสาลี่จะอ้างว่า อ่านหนังสือไม่ออก แต่ก็ได้มีการเซ็นชื่อรับเงินไปจนครบจำนวนถึง 5 ครั้งด้วยกัน เมื่อมูลนิธิฯ เข้าไปขอใช้ประโยชน์ ในพื้นที่ตามสิทธิของกฎหมาย ครอบครัวนี้ก็โยกโย้ไม่ยอมย้ายบ้านออก
สบช่องกับจังหวะที่วัดถูกกระแสสื่อมวลชนโจมตี จึงคิดฉวยโอกาสกระทืบวัด ด้วยหวังว่าจะได้เงินกินเปล่า 5 ล้าน และยังถือครองที่ดินอีก
รวมถึงเรื่องนางกนกวรรณ เลิศตระกูลพิทักษ์ อุ้มลูกน้อย 2 คน ร้องห่มร้องไห้ต่อเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี ขอเงินทำบุญจำนวน 2 แสนบาท คืน เจ้าคณะจังหวัดฯ ท่านระบุว่าใบอนุโมทนาบัตร ยืนยันชัดเจนว่านางเต็มใจบริจาค จึงไม่สามารถขอเงินที่ทำบุญคืนได้
เรื่องมาถึงสภาทนายความคุณสักรู้หรือไม่ว่า หล่อนไปขอเงินบุญคืนจากวัดแต่ถูกปฏิเสธว่า เงินทำบุญคืนไม่ได้ ด้วยหลักเมตตาธรรม วัดก็ให้เงินช่วยเหลือไป 9 หมื่นบาท เมื่อต้นปี 42
มันจึงเป็นความบัดซบที่สภาทนายความจักต้องสำเนียกเรื่องราวเหล่านี้ให้ถ้วนถี่ ก่อนที่จะขันอาสามาเป็นทนายแก้ต่างให้ใคร?
ภาพอัปลักษณ์ที่ปรากฏคือ สภาทนายความ มีความเห็นให้วัดคืนเงิน หรือยกที่ดินคืนให้ผู้บริจาค
พวกคุณกำลังฉีกตำรับตำราที่ร่ำเรียนกันมา ยึดถือเป็นสัมมาชีพเลี้ยงปากท้องกันแล้วหรือไร?
ไม่ใช่การใส่อารมณ์ว่าร้ายกัน แต่จะพูดกันตามหลักกฎหมายอย่าทอดธุระไม่ใช่ หากจะให้โอนที่ดินคืนแก่ผู้บริจาคต้องเข้าหลักตามนี้...
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ปพพ.) มาตรา 531 ผู้ให้จะเรียกถอนคืนการให้ เพราะเหตุผุ้รับประพฤติเนรคุณ ในกรณีต่อไปนี้
1) ถ้าผู้รับได้ประทุษร้ายต่อผู้ให้เป็นความผิดฐานอาญาอย่างร้ายแรง ตามประมวลกฎหมายอาญา หรือ
2) ถ้าผู้รับได้ทำให้ผู้ให้เสียชื่อเสียง หรือหมิ่นประมาทผู้ให้อย่างร้ายแรง หรือ
3) ถ้าผู้รับบอกปัดไม่ยอมให้สิ่งของจำเป็นเลี้ยงชีวิตแก่ผู้ให้ในเวลาที่อยู่ยากไร้ และผู้รับยังสามารถจะให้ได้
ชัดลงไปอีกมาตรา มาตรา 532 ทายาทของผู้ให้จะเรียกให้ถอนคืนการให้ได้แต่เฉพาะเหตุที่ผู้รับได้ฆ่าผู้ให้ตายโดยเจตนา และไม่ชอบด้วย กฎหมาย หรือได้กีดกันผู้ให้ไว้มิให้ถอนคืนการให้
แต่ผู้ให้ได้ฟ้องคดีไว้อย่างใดโดยชอบแล้ว ทายาทของผู้ให้จะว่าคดีนั้นต่อไปก็ได้
มาตรา 533 การถอนคืนการให้ ต้องทำภายใน 6 เดือน นับแต่ผู้ที่จะถอนคืนการให้นั้น ได้ทราบเหตุเนรคุณ แต่ถ้าผู้ให้ได้ให้อภัย ในเหตุ เนรคุณแล้ว ก็ฟ้องไม่ได้
มาตรา 535 การให้ที่ไม่สามารถถอนคืนการให้ได้เลย มีดังนี้
1) ให้เป็นบำเหน็จสินจ้างโดยแท้
2) ให้สิ่งที่มีค่าภารติดพัน
3) ให้โดยหน้าที่ธรรมจรรยา**
4) ให้ในสมรส
เข้าใจกันหรือยังพ่อหมอกฎหมายทั้งหลาย อย่าหลงทีวี อย่าเมาวิทยุ อย่าบ้าตามสื่อ เพราะการถอนคืนการให้กฎหมายเขียนไว้ชัดว่า ถอนคืน ด้วยเหตุใดบ้าง ถ้าไม่มีเหตุดังกล่าว หมดสิทธิ์ถอนคืนเข้าใจไหม?
ความจริงอย่างคุณสัก ไม่ต้องมานั่งอบรมให้เสียเนื้อที่กระดาษเปลืองหมึก เปลืองเวลา เพราะวิชากฎหมายแพ่งว่าด้วยการให้ที่ว่ามานี้ เด็กๆ ปี 2 เขาก็เรียนกันแล้ว
แต่ที่เสียเวลามาสั่งสอนคนอย่างคุณสัก มีเหตุผลใหญ่ๆ อยู่เพียงข้อเดียว คือ ไม่ต้องการให้สังคมบิดเบือนมากไปกว่านี้ และไม่อยากเห็น มนุษย์ผู้ได้ชื่อสัตว์ประเสริฐทรยศต่อวิชาชีพของตนเท่านั้นเอง
โซตัส