ปีที่ 2 ฉบับที่ 703 ประจำวันอังคารที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2542

หน้า 1

กรีดสงฆ์ไทย ไหลตาม "สื่อ"

นักวิชาการฝรั่งชี้พระปยุต มั่ววิพากษ์วัดธรรมกาย

ผู้เชี่ยวชาญด้านพุทธศาสนาชาวฝรั่งเศส กรีดสังคมสงฆ์ไทย ระบุพระที่ออกมาวิจารณ์วัดพระธรรมกายทุเรศ ไร้ความกล้าหาญ ข้องใจ วัดก่อตั้งมาตั้ง 29 ปี ทำไมเพิ่งออกมาด่า ศิษย์ธรรมกายประกาศ พลีชีพป้องกันเจ้าอาวาส ตำรวจไม่มั่นใจหลักฐานจับสึก

เมื่อวานนี้ (14 เม.ย.) ที่ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร ได้จัดบรรยายในหัวข้อ "การวิจารณ์พระพุทธศาสนา ทางการ์ตูน ในประเทศไทย ปัจจุบัน" โดยมี ศ.ดร.หลุยส์ กาโบด นักวิจัยผู้เชี่ยวชาญด้านพระพุทธศาสนา สำนักวิจัยฝรั่งเศสแห่ง ปลายบูรพทิศ (EFEO) ประจำประเทศไทย เป็นวิทยากร กล่าวใน การบรรยายตอนหนึ่งว่า การที่พระสงฆ์บางรูป ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ โจมตีวัดพระธรรมกายในช่วงเวลานี้ ทั้งที่วัดแห่งนี้ ก่อตั้งมานาน ถึง 29 ปี พระสงฆ์ที่มีความรู้แตกฉาน กลับทอดธุระมาโดยตลอด เพิ่งออกมา วิพากษ์วิจารณ์ด่าทอเขาตอนนี้ มีเหตุผลอะไร ตนเข้าใจว่า อาจทำไปตาม กระแสของสื่อมวลชน

ถล่มปราชญ์พุทธ

"แสดงให้เห็นว่า ผู้ที่ออกมาวิพากวิจารณ์อยู่ในขณะนี้ ก็เป็นผู้ที่น่าทุเรศเหมือนกัน ถ้าเป็นห่วงศาสนาจริง ต้องจัดการตั้งแต่ต้นแล้ว" ผู้เชี่ยวชาญด้านพระพุทธศาสนากล่าว และว่ากรณีธรรมกายยังมีอีกเรื่องที่น่าตั้งข้อสังเกตคือ ทำไมพระผู้ใหญ่ระดับสูงจึงออกมาจัดการเรื่องนี้

ดร.หลุยส์ แสดงความเห็นเรื่องยันตระต่ออีกว่า พระและคนไทยจำนวนมากรู้เห็นถึงความผิดปกติของยันตระตั้งนานแล้ว ขนาดผู้พูดเป็น ชาวต่างชาติยังทราบข่าว ตั้งแต่ปี 2533 ซึ่งปกติเรื่องประเภทนี้ คนไทยจะไม่ไว้ใจฝรั่ง เพราะเกรงว่า จะเป็นภัยต่อศาสนาและน่าอาย หากฝรั่งรู้ ทำไมคนไทยจะไม่รู้ แต่กว่าที่สื่อมวลชนและพระ จะออกมาพูด ก็เป็นเวลาตั้งหลายปี สำหรับพระที่ออกมาโจมตีวัดพระธรรมกาย จนเป็นประเด็น ร้อน อาทิ พระธรรมปิฎก และพระพิศาลธรรมวาที

รัฐบาลลอยตัว - สื่อใจเร็ว

ทั้งนี้ พระอาจจะลำบากใจที่จะพูด เพราะตามพระธรรมวินัย ระบุว่า การจะกล่าวโทษผู้อื่นนั้น จะต้องมีหลักฐานชัดเจน และการจะตัดสิน เรื่องนี้ ต้องทำตามพระธรรมวินัย ไม่ใช่อยู่ที่การตัดสินใจของคนใดคนหนึ่ง พระจะต้องแก้ไขกันเองก่อน โดยทั่วไปเรื่องของพระๆ จะต้องแก้กัน เองก่อน แต่พระบางส่วนกลับต้องการให้ฆราวาสมาแก้ไข ซึ่งไม่แปลกที่รัฐบาลไม่เข้ามาจัดการแต่ต้น ส่วนผู้สื่อข่าวและคนเขียนการ์ตูน ก็ก้าวไว เกินไป คนทำข่าวควรใจเย็นกว่านี้ สำหรับเรื่องเงินและโฉนดที่ดินของวัดพระธรรมกายนั้น ต้องวินิจฉัยด้วยความรอบคอบ ครั้งพุทธกาลไม่มีโฉนด ที่ดิน ซึ่งคงต้องอาศัยพระวินัยที่ใกล้เคียงมาพิจารณา

นักวิชาการด้านพระพุทธศาสนาชาวฝรั่งเศสผู้นี้ ยังแสดงความเห็นเรื่องวัดพระธรรมกายต่ออีกว่า วัดและเจ้าอาวาสมีทางออกมาโดยตลอด สังคมไทยเปิดโอกาสให้แก้ไข แต่ทางวัดปล่อยโอกาสนั้นไป เช่นเรื่องที่ดิน น่าจะจัดการให้เด็ดขาดลงไป ส่วนคำสอนเรื่องอัตตาหรืออนัตตา ก็มี ทางออก สามารถตีความหรือชี้แจงได้ เมื่อถึงเวลานี้ กรณีธรรมกายไม่ว่าจะจบลงเอยอย่างไร ก็ต้องพบกับความเจ็บปวด ส่วนเรื่องการ์ตูนล้อ พระศาสนานั้น ตนเห็นว่า อย่าไปถือเอาสาระเช่นบทความเชิงวิชาการอะไรไม่ได้ เพราะผู้เขียนใช้ศิลปะแคบ เข้ามาทำงาน หากมีใจชอบใคร ก็อาจ เขียนเชียร์คนนั้น หรือตำหนิคนนี้ได้

"พิภพ" ยันโอนที่ดินทั้งหมด

นายพิภพ กาญจนะ อธิบดีกรมการศาสนา กล่าวว่า ขณะนี้ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายนิติกร ทำหนังสือเรื่องการที่กรมการศาสนา แจ้ง ความดำเนินคดีกับเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย เพื่อนำมารายงานให้พระสุเมธาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี ทราบในวันนี้ (14 มิ.ย.) ส่วนเรื่องที่ ตัวแทนวัดพระธรรมกายออกมาระบุว่า การโอนที่ดินเพียงบางส่วน ตนได้รับรู้ด้วยนั้นไม่เป็นความจริง กรมได้มีการยืนยันให้โอนทั้งหมด และ การส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปช่วยเหลือก็เป็นการช่วยในเรื่องเอกสารการโอน ส่วนเอกสารการโอนที่ส่งมาให้จะมีการโอนหรือไม่นั้น นายอาคม เอ่งฉ้วน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้สั่งการมาแล้ว ให้คืนเอกสารทั้งหมดให้วัดไปจัดการเอง

ตร.ประชุมส่งเรื่องเจ้าคณะภาค 1

สำหรับการสอบสวนของพนักงานสอบสวนในคดีที่กรมการศาสนาเป็นโจทก์ยื่นฟ้องคดีอาญา กรณีการนำที่ดินของวัดมาเป็นของตนเอง ของเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายนั้น พ.ต.ท.จรุงวิทย์ ภุมมา รองผู้กำกับการ 3 กองปราบปราม กล่าวว่า ได้อ่านคำร้องทุกข์กล่าวโทษ เจ้าอาวาส วัดพระธรรมกายแล้ว และกำลังรวบรวมแยกประเด็น เพื่อนำเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการสอบสวน โดย พล.ต.ท.วาสนา เพิ่มลาภ ผู้บัญชาการ สำนักงานคณะกรรมการ ข้าราชการตำรวจ จะเป็นหัวหน้าชุดสอบสวน โดยจะมี พล.ต.อ.พรศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบคดีนี้เข้าร่วมประชุมด้วย

“อาคม” ลั่นโอนที่เป็นมติมส.

นายอาคม เอ่งฉ้วน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการกล่าวว่า การโอนที่ดินของเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายให้เป็นของวัด ปล่อยให้ เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการจัดการเรื่องที่ดินของวัด อย่างไรก็ดี เรื่องการโอนที่ดินเป็นมติมหาเถรสมาคม (มส.) หากใครไม่ปฏิบัติก็จะมีโทษ ตามการปกครอง กระบวนการทางกฎหมายเริ่มแล้ว ต้องไปบอกพระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1 ซึ่งเป็นเรื่องที่ทางคณะสงฆ์จะต้องพิจารณา ไม่ใช่ เรื่องของอาญา และว่าการเดินทางไปไหนมาไหน ของเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ยังไปได้ตามปกติ ยกเว้นการเดินทางออกนอกประเทศ ต้องขอ อนุญาตจาก มส. หากมีการหลบหนีเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ต้องดำเนินการ

ตร.ไม่มั่นใจหลักฐานจับสึก

ที่สำนักงานตำรวจภูธรภาค 1 พล.ต.อ.พรศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการ สอบสวน คดีกรมการศาสนาแจ้งความกล่าวโทษเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย โดยมีการเชิญ นายวิจิตร ทองทิพยา หัวหน้าฝ่ายศาสนสงเคราะห์ และ นายเชลียง เทียมสนิท หัวหน้ากลุ่มนิติการ กรมการศาสนา ใน 3 ประเด็นที่มีการยื่นไว้ คือแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน เป็นเจ้าพนักงานเบียดบัง ยักยอกทรัพย์ และเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

พล.ต.อ.พรศักดิ์ได้กล่าวหลังการประชุมว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถระบุได้ว่า หลักฐานพยานต่างๆที่มีอยู่จะสามารถจับธัมมชโยสึกได้หรือไม่ คงต้องดูเรื่องพยานหลักฐานต่าง ๆ ทั้งหมดก่อนว่า มีมูลพอที่จะดำเนินคดีหรือไม่ โดยหลังจากเรียกตัวแทนกรมการศาสนามาชี้แจงแล้ว ก็ต้องให้ พนักงานสอบสวนได้พิจารณาสำนวนเอกสารทั้งหมด

แจงเจ้าคณะภาค 1

นายเริงฤทธิ์ เบ้านุวงศ์ หัวหน้าฝ่ายสังฆการ กรมการศาสนาได้เดินทางเข้ากราบนมัสการพระพรหมโมลีเจ้าคณะภาค 1 เพื่อยื่นหนังสือ รายงานให้ทราบว่า ขณะนี้กรมการศาสนาได้ยื่นกล่าวโทษดำเนินคดีอาญาเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายแล้ว และขอให้ดำเนินการตาม กระบวนการ นิคหกรรมต่อไป ในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับกรมการศาสนาได้ยื่นกล่าวโทษในคดีอาญา

นายเริงฤทธิ์กล่าวภายหลังเข้าพบพระพรหมโมลีว่า พระพรหมโมลีได้แจ้งว่า จะส่งเรื่องนี้ไปให้เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีพิจารณาอีกครั้งว่า ควรจะนำเรื่องใดขึ้นมาพิจารณา เรื่องที่กรมฯ ได้แจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษอาจต้องยุติไว้ก่อน แต่การที่จะมีคณะผู้พิจารณาชั้นต้น ในเรื่องอื่น ต้องทำต่อไป และเรื่องที่ดินที่ไม่เกี่ยวกับการยักยอกทรัพย์ ก็อาจดำเนินการต่อไปได้ แล้วแต่คณะสงฆ์จะพิจารณา หลังจากนั้น นายเริงฤทธิ์ได้ เดินทางไปกราบนมัสการพระสุเมธาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีเพื่อรายงานให้ทราบในเรื่องเดียวกัน

หลวงพ่อเชื่อใจนายกฯ

จากกรณีพระราชภาวนาวิสุทธิ์ กล่าวระหว่างนำญาติโยม นั่งปฏิบัติธรรมสมาธิที่สภาธรรมกายสากล เมื่อวันอาทิตย์ที่ 13 มิ.ย.ว่า ได้ยกที่ดิน ให้เป็นของวัดหมดแล้ว โดยให้คณะกรรมการไปจัดการตามวัตถุประสงค์ของลูกๆ ทุกคน ส่วนใครจะทำอย่างไรต่อไป ไม่รับรู้และเชื่อว่า ปัญหา ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ จะมีการพูดคุยเจรจาแก้ไขปัญหากันได้ เพราะเชื่อมั่นในความยุติธรรมของรัฐบาล โดยเฉพาะนายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้ที่ยึดมั่นในหลักการ การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และสิทธิเสรีภาพมายายนาน จนประจักษ์ต่อสายตาชาวโลก จึงเชื่อว่า จะให้ความยุติธรรม ที่กำลังเกิดขึ้น ในขณะนี้ด้วย

รวมทั้งเชื่อมั่นในคณะสงฆ์ โดยมหาเถรสมาคม ที่จะดูแลเรื่องนี้ด้วยความยุติธรรม ตามพระธรรมวินัย เหมือนพ่อปกครองาลูก ถ้าลูกๆ จะช่วยหลวงพ่อ ให้นั่งสมาธิทำจิตใจให้เบิกบาน และตามผู้มีบุญมาช่วยกัน สร้างสภาธรรมกายสากล มหาธรรมกายเจดีย์ และมหาวิหาร มงคลเทพมุนี ให้สำเร็จ

ขอให้ญาติโยมปฏิบัติธรรมเข้าถึงวิชชาธรรมกาย ซึ่งมีอยู่ในมนุษย์ทุกคนในโลก เมื่อใดที่มนุษย์เข้าถึงธรรมกายแล้ว จะเกิดความสันติสุข ของ มวลมนุษยชาติ สิ่งใดที่คิดว่า เป็นไปไม่ได้ ก็จะเป็นไปได้ ช่วยสร้างสันติสุขในโลกอย่างประหยัด ขอให้ลูกชักชวนให้เข้าถึง วิชชาธรรมกาย ด้วย ส่วนการสร้างถาวรวัตถุ ก็เพื่อให้ทุกคนสะดวกสบายในการปฏิบัติธรรม มิได้มักใหญ่ใฝ่สูงหรือเด่นดัง

ศิษย์ประกาศพลีชีพ

ผู้สื่อข่าวรายงานจากวัดพระธรรมกายว่า ขณะนี้ ลูกศิษย์วัดมีความไม่พอใจต่อท่าทีของรัฐบาล เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเรื่องการบีบบังคับ ให้เจ้าอาวาสโอนที่ดิน ลูกศิษย์วัดส่วนใหญ่เห็นว่า เจ้าอาวาสถูกทางราชการกลั่นแกล้ง โดยตั้งคำถามถึงรัฐบาล 4 ประเด็นคือ รัฐบาลไม่ยุติธรรม จงใจเลือกปฏิบัติ ถ้าจะให้วัดพระธรรมกายโอนที่ดินเพียงวัดเดียว โดยที่วัดอื่นยังไม่มีการดำเนินการ รัฐจงใจกลั่นแกล้งวัด ประเด็นที่สอง รัฐบาล ปฏิบัติขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญ และกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่ระบุว่า พระสามารถถือที่ดินในนามส่วนตัวได้ จะตกเป็นของวัดต่อเมื่อมรณภาพ และกฎหมายรัฐธรรมนูญในเรื่องสิทธิทางทรัพย์สิน รัฐบาลเอากฎหมายอะไรมาบังคับให้เจ้าอาวาส ต้องโอนที่ดินให้เป็นของวัด ประเด็นที่สาม คือ การปฏิบัติในลักษณะนี้ เท่ากับว่า จงใจหาเรื่องเฉพาะวัดพระธรรมกายเพียงวัดเดียว เมื่อมาถึงจุดนี้ กัลยาณมิตรทั้งหลายมีความเห็นว่า พร้อมที่จะ ต่อสู้ทุกรูปแบบ ถ้ามาจับเจ้าอาวาสในวัด ทุกคนยอมตายเพื่อปกป้องความถูกต้องชอบธรรม

สมเด็จพระสังฆราชทรงเข้ารับการตรวจพระวรกายที่ รพ. จุฬาฯ

หลังจากที่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงหายจากอาการประชวร ปฏิบัติพระศาสนกิจ และเปิดให้ ประชาชนเข้าเฝ้าอย่างไม่เป็นทางการมากว่า 5 วันแล้ว วานนี้ (14 มิ.ย.) สมเด็จพระสังฆราชได้เสด็จไปตรวจพระวรกาย อย่างละเอียดอีกครั้ง โดยเฉพาะระบบทางเดินปัสสาวะที่ตึกวชิรญาณพยาบาล โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โดยมี น.พ.สงคราม ทรัพย์เจริญ แพทย์ประจำพระองค์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นหัวหน้าคณะในการถวายการตรวจ สำหรับการตรวจครั้งนี้ เป็นการตรวจต่อเนื่องจาก ที่เสด็จมาตรวจครั้งล่าสุด เมื่อวันเสาร์ที่ 5 มิถุนายน หลังการตรวจพระวรกายของ สมเด็จพระสังฆราชโดยคณะแพทย์ที่นำโดย น.พ.สงคราม ทรัพย์เจริญ แพทย์ประจำ พระองค์ ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว น.พ. ปรีดา ทัศนประดิษฐ์ ผู้อำนวยการ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์กล่าวว่า

เป็นการตรวจพระวรกายตามปกติเนื่องจากทรงมีพระชนมายุสูงและมีโรคประจำพระองค์ได้แก่ โรคระบบทางเดินหายใจ โรคหัวใจ เบาหวานและระบบทางเดินปัสสาวะ จึงได้กราบทูลให้สมเด็จพระสังฆราชเสด็จมาตรวจพระวรกายเป็นประจำอยู่แล้ว และกราบทูลให้พักรักษา พระองค์ที่ชั้น 6 ตึกวชิรญาณสามัคคีพยาบารโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ 1 คืนในเบื้องต้น เพื่อทำการเจาะเลือดซึ่งจะอยู่กี่วัน ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลาย อย่าง รวมทั้งขึ้นอยู่กับสมเด็จพระสังฆราชเองอีกทั้งจะได้ไม่ทรงเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ซึ่งคณะแพทย์จะเฝ้าดูพระอาการอย่างใกล้ชิด ตลอด 24 ชั่วโมงและมีการจดบันทึกพระอาการอย่างต่อเนื่อง

[หน้าหลัก] [หน้า1][วิวาทะ][พิเศษ1][พิเศษ2]

1