ปีที่ 2 ฉบับที่ 702 ประจำวันจันทร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2542
ปุจฉา วิสัชนา
29 พฤษภาคม 2542
เรื่อง กรณีวัดพระธรรมกายกับสิทธิมนุษยชน
กราบเรียน ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี
กระผมนายชัยทัต ชัยสิทธิ์ เป็นชาวพุทธ 100 % ผมถือศีล 5 ทุกๆ วันพระหรือวันอาทิตย์ จะเข้าวัดเพื่อปฏิบัติธรรม ขัดเกลาจิตใจ เพราะผม ได้ประกาศตนเป็นพุทธมามกะด้วยคนหนึ่ง ผมเป็นคนชอบอ่านข่าว อ่านหนังสือพิมพ์ ชอบการเมือง ชอบวิเคราะห์วิจัยข่าว สถานการณ์บ้านเมือง มาตั้งแต่เด็กถึงตอนนี้ จึงเป็นห่งพุทธศาสนาในเมืองไทยเป็นอย่างมาก เพราะประเทศชาติตอนนี้ก็เป็นหนี้ IMF แล้ว พระพุทธศาสนาก็ถูกรุกราน อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ของเราก็ทรงมีพระชนม์พรรษามากขึ้น โดยเฉพาะสมเด็จพระสังฆราชประมุขของสงฆ์ มีพระชนมายุ 85 พรรษาแล้ว ซึ่งทราบว่าท่านทรงพระประชวนด้วย จึงน่าเป็นห่วงเมืองไทยอย่างยิ่ง จึงอยากเขียนจดหมายแสดงความคิดเห็น ในฐานะชาวพุทธคนหนึ่ง
เดิมผมไม่ชอบวัดพระธรรมกาย เอามากๆ เพราะหนังสือพิมพ์นั่นแหละ ได้ยินข่าวมาเมื่อสิบปีที่แล้ว มีข่าวว่า วัดเบียดเบียนชาวนา รังแก ชาวนา ผมจึงเกลียดวัดเพราะสื่อ สื่อเขียนได้เก่งมากๆ คนเชื่อสื่อเยอะมาก ต่อมา พ่อแม่ขอให้ผมมาบวชที่วัดพระธรรมกาย โบสถ์ก็แปลกแต่ดี ผมบวชอยู่ได้ 1 เดือนเท่านั้น ไม่น่าเชื่อ ผมบวชแล้วถือศีล 227 ข้อครบ มีโอกาสได้นั่งสมาธิปฏิบัติธรรมวันละ 8-10 ชั่วโมง เห็นดวงแก้ว เห็นองค์พระในตัว มีความสุขมาก ยังข้อสงสัยที่มีอยู่ค้างใจอยู่ ได้มีโอกาสถามพระอาจารย์ ก็จะได้รับความกระจ่างเข้าใจ และเห็นใจวัด เล่าซะยาว อยากจะบอกว่า ก่อนบวช เดิมผมเป็นคนชอบกินเหล้า เที่ยวกลางคืน พ่อแม่ต้องเสียน้ำตากับผม แต่ปัจจุบันผมเปลี่ยนไป ได้มาเรียนต่างประเทศ มีศีลมีธรรมในใจ สรุปผมเป็นคนดีขึ้นได้ เพราะวัดพระธรรมกาย
ฉะนั้นผมอยากจะบอกว่า คนเราอย่าด่วนตัดสินอะไร ดูผลของมันดีกว่า วัดไม่ดีจริง จะผลิตคนดีได้อย่างไร ตามประวัติวัด 29-30 ปี สร้าง คนดีให้สังคมเป็นแสนเป็นล้านคน ผมวอนประชาชนอย่าด่วนตัดสินใจอะไรไป หรือพูดอะไรที่ไม่ดีต่อวัด เพียงแค่อ่านหนังสือ ที่ทำผิดจรรยา บรรณ ของนักข่าว ถ้าเรายังไม่ได้สัมผัสจริงๆ
ชัยทัต ชัยสิทธิ์
เรียน ฯพณฯ ท่านชวน หลีกภัย ที่เคารพ
เรื่อง กรณีธรรมกาย (ฉบับที่ 2)
ข้าพเจ้าชื่อ นภอร ชินเมธีพิทักษ์
มีเรื่องกราบเรียนต่อ ฯพณฯ ดังต่อไปนี้
ดิฉันตั้งใจว่าจะเขียนจดหมายฉบับนี้เป็นฉบับสุดท้าย ถ้าไม่มีเหตุการณ์อะไรมาทำให้เปลี่ยนแปลง เพราะพิจารณาเห็นว่า มิใช่กิจที่พึงทำ เพราะการโต้ตอบกันด้วยวิธีการเช่นนี้ ปกติคือไม่อาจหาที่สิ้นสุดได้ ประกอบทั้งที่วัดพระธรรมกาย ไม่เคยสอนให้ทำสงครามน้ำลาย ในการแก้ ปัญหาที่เผชิญอยู่ ที่ดิฉันพิจารณาว่า มิใช่กิจที่พึงทำของดิฉัน เพราะคนเราถ้าจ้องจะจับผิดกันอยู่ไม่ว่าจะพูดอะไร เขียนอะไร เขาก็ว่าผิด เอาไป ตีความเข้าข้างเขาได้สารพัดนั่นเอง จึงประสงค์จะเขียนจดหมายฉบับนี้เพื่อแสดงความคิดเห็น เพื่อพิจารณาไตร่ตรองของท่านโดยแท้จริง มิได้มี ความประสงค์จะโต้ตอบถึงกับใคร ดิฉันได้อ่านหนังสือพิมพ์บางฉบับ พบว่า ในเนื้อความยาวถึง 14 หน้า A4 เมื่อพิมพ์จากทางอินเตอร์เน็ต มีใจ ความสำคัญที่กรมการศาสนา กล่าวหาโจมตีหลวงพ่อธัมมชโยอยู่ 2 ประการคือ เรื่องหลวงพ่อมีที่ดิน และเรื่องหลวงพ่อสอนว่า "นิพพานเป็นอัตตา"
ดิฉันจะไม่ให้ความเห็นเกินเลยขอบเขตของคนธรรมดาทั่วไป ที่ไม่ได้ศึกษาเฉพาะด้านเกี่ยวกับกฎหมาย หรือพระธรรมวินัยมาโดยเฉพาะ ว่า ในฐานะที่ดิฉันเป็นเจ้าภาพของวัด โดยสม่ำเสมอ แม้ฟังข่าวนี้ ดิฉันก็รู้สึกเฉยๆ เพราะดิฉันแสวงหาบุญ และก็รู้อยู่แล้วว่า ยังไงหลวงพ่อท่าน ก็ต้องใช้ปัจจัยดังกล่าว ในงานของพระศาสนาอยู่แล้ว
(เรื่องแสวงหาบุญนั้น ดิฉันอยากจะเพิ่มเติมเล็กน้อยว่า ในขณะที่ผู้คนมากมายกำลังแสวงหา "เงิน" ทำไมการแสวง "เงิน" ก้อนโตๆ ไม่ถูก ประนาม แต่ทำไมการแสวงหา "บุญใหญ่" จึงต้องถูกกระแนะกระแหน ถูกประนามและวิพากษ์วิจารณ์ คนส่วนใหญ่มี "เงิน" เป็นแก่นสาร แล้วถ้า ดิฉันและเพื่อนสหธรรมิกอื่นๆ จะมี "บุญเป็นแก่นสาร" ทำไมต้องถูกกล่าวหาว่าร้ายด้วย เพราะนี่คือสิทธิ มนุษยชน ผู้มีสิทธิเสรีภาพเต็มที่ ในการถือ ศรัทธา)
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ดิฉันสามารถกล่าวได้เต็มปากเต็มคำก็คือ ในฐานะผู้ควักกระเป๋าทำบุญ ดิฉัน ไม่เดือดร้อนกับข่าวดังกล่าวแม้แต่น้อย แต่คนที่เป็นทุกข์เป็นร้อน ออกมาร้องด่าว่า กลับเป็นคนที่ไม่เคยควักกระเป๋าให้วัดเลย จะมาชี้ประเด็นและเดือดร้อนเพื่ออะไร ถ้ามิใช่เพียงเพราะอิจฉาหลวงพ่อเท่านั้น
ส่วนประเด็น ที่สองเรื่อง "นิพพานเป็นอัตตา" หรือ "อนัตตา" ย่อมไม่สามารถหาข้อยุติได้ด้วยการถกเถียงกัน แต่ที่แน่ๆ คือ
ดิฉันอยากไปนิพพาน และเพื่อนสหธรรมิกทุกคนของดิฉันก็ต้องการเช่นกัน และรู้ว่ายังอีกหลายชาติ แต่ก็ต้องไปจึงได้พยายามทำการ วาจา ใจ ให้บริสุทธิ์ หมั่นทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ไม่ว่าร้ายใคร ไม่สาดโคลนให้ใคร ไม่กล่าวหาใครเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน ไม่ตัดต่อภาพใคร ไม่สร้างภาพให้ใคร และที่สำคัญคือ อิ่มเอิบใจกับการได้มีส่วนร่วม ในการบวชคนให้เป็นพระ ไม่ใช่ดีใจกับการทำพระ (ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ สร้าง คนดีให้สังคม) ให้กลายเป็นคน แต่ธรรมะเป็นสิ่งที่รู้เห็นได้เฉพาะตนเองเท่านั้น
ดังในบทสวดมนต์ประจำวันที่ว่าร "ปัจจัตตัง เวทิตัพโพวิญญูหิ" ดังนี้ใครไม่อยากไปนิพพาน ดิฉันคงไม่อาจทำอะไรได้ แต่ดิฉันและเพื่อน สหธรรมิก จะไปแน่นอน ไม่ว่าข้างที่ "เถียง" ชนะจะบอกว่า "นิพพานเป็นอัตตา" หรือ "อนัตตา" เพราะที่นั่นคือ ความหลุดพ้นจากกองทุกข์ เพราะ ที่นั่น ไม่มีความสุขลวงตา เหมือนที่โลกมนุษย์นี้ และไม่มีสงคราม การสร้างภาพคนอื่น และสงครามน้ำลายเช่นนี้ด้วย
เรื่องทั้งหมดนี้ ดิฉันคิดว่าน่าจะเป็นการมีศาสนาอื่นเข้ามาแทรกแซงมากกว่า เพราะวัดพระธรรมกายมีทีท่าว่า จะเป็นที่ปักหลักรากฐาน มั่นคงให้กับพระพุทธศาสนา ให้เติบโตรุ่งเรืองต่อไป และยากต่อการแทรกซึมของฝ่ายศาสนาอื่น เพราะที่ผ่านๆ มา แม้พุทธศาสนาจะเป็น ศาสนา ประจำชาติไทย แต่ก็อย่างที่รู้กันว่า โดยปกติแล้ว เด็กสมัยใหม่ หรือแม้แต่รุ่นดิฉันเอง จะไม่ค่อยรู้จักวัด จะเข้าวัดก็ทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ต้องพูดกับพระ ด้วยคำพูดอย่างไร จริงๆ แล้วไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่า เขากราบพระสงฆ์กันคนละกี่ครั้ง ศีล 5 ก็กระพร่องกระแพร่งกันทุกคน ซึ่งความ "ไม่เข้มข้น" ดังกล่าว เปิดโอกาสและช่องโหว่ให้กับศาสนาอื่นได้มาก
ก็มีแต่วัดพระธรรมกายนี้เองที่ปลูกฝังความเป็น "พุทธแท้" เน้นย้ำให้หมั่นทำทาน ให้รักษาศีล 5 ให้ครบให้นั่งสมาธิทุกๆ วัน และเป็นก้าง ขวา ทางของศาสนาอื่นๆ อยู่ และยังมีทีท่าว่า จะเป็นศูนย์รวมใจของผู้คน มากขึ้นเรื่อยๆ และอาจขยายถึงระดับโลกได้ เมื่อธรรมกายสำเร็จ ดิฉัน พิจารณาว่า ด้วยเหตุนี้เอง ที่ทำให้วัดพระธรรมกายเป็นเป้าโจมตี ทั้งที่เป็นผู้บริสุทธิ์ ทำในสิ่งที่ถูกต้องดีงาม เพียงแต่สิ่งนั้น ไม่ถูกใจบางกลุ่มคน เท่านั้น
วิธีการโจมตีของเขาก็ฉลาด คือจะใช้วิธียุให้ตีกันเอง เช่น อยู่ๆ ก็เสนอเรื่อง "นิพพานเป็นอัตตา หรืออนัตตา" ขึ้นมาให้ถกเถียงกันเอง ระหว่างพุทธด้วยกัน เพราะจากเหตุการณ์ในพงศาวดารก็ปรากฏชัดแล้วว่า การยุให้พวกเดียวกัน ตีกันเองนั้นสำเร็จผลดีกว่า การออกแรงยกทัพ ไปตีมากนัก เพราะถ้าฝ่ายศาสนาอื่นออกมา ให้เห็นเป็นตัวตน พุทธด้วยกันย่อมจะรวมตัวกัน อย่างเหนียวแน่น ตามหลักธรรมชาตินั่นเอง จึงใช้วิธี แฝงมาดังกล่าว ซึ่งเมื่อเรื่องดังกล่าว ไม่อาจทำให้แตกหักสำเร็จลงได้ ก็ดูเหมือนเรื่องของมหานิกาย และธรรมยุตจะถูกยุขึ้นมาแทนในเร็วๆ นี้
สุดท้ายนี้ ดิฉันขอความกรุณาได้โปรดมองเห็นในความแท้จริง ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังการประโคมข่าวไม่เว้นแต่ละวัน และการเคลื่อนไหว ของกลุ่มบางกลุ่ม หลวงพ่อท่านทำผิดอะไร กับการสอนให้คนทุกคนสร้างบุญสร้างความดี กระแสข่าวของสื่อสารมวลชน สามารถสร้างภาพ หลอกตา ได้เป็นอย่างดี เพราะเขามีหน้าที่สร้างภาพโดยเฉพาะอยู่แล้ว
เขาอาจทำให้รู้สึกเหมือนกับว่า คนทั้งประเทศกำลังรู้สึกเช่นนั้น ต่อวัดพระธรรมกายและหลวงพ่อ ทั้งๆ ที่ความจริงไม่ใช่ความคิดของ สื่อมวลชน ดูเหมือนจะเป็นความคิดของประชาชน แต่ที่แท้จริง มันไม่ใช่ ขณะนี้ อาจมีคนกว่าครึ่งประเทศที่ไม่เห็นด้วยกับ สงครามน้ำลายบน หน้า หนังสือพิมพ์ และอีกครึ่งหนึ่ง รู้สึกไม่อยากวิจารณ์ เพราะรู้สึกว่า ตัวเองไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรง
เพราะความจริงอันหนึ่งที่ได้ถูกพิสูจน์โดยนักวิจัยทางวิชาการแล้วพบว่า คนเรากลัวการไม่ยอมรับ ถ้าแสดงความคิดเห็นที่ไม่เหมือนคนอื่น สรุปแล้วก็เหลือ แต่ระดับบริหารของสื่อสารมวลชน บางสำนักเท่านั้น ที่ยังยืนกรานการประโคมข่าวของตนต่อไป เหตุผลเชิงผลประโยชน์ ส่วนตนต่อไป
ทั้งหมดที่ดิฉันกล่าวมานี้มิได้เป็นการกล่าวหาใครนะคะ เพราะเป็นเรื่องที่ไม่ถนัดอยู่แล้วตามปกติวิสัย แต่มันเป็นเพียงข้อสรุปจากวิธีการ ประมวลข้อมูลแบบ INDUCTIVE METHOD ตามแนวทงการวิจัยเชิงวิชาการ ซึ่งได้ผลถูกต้องและเป็นที่นิยมใช้กันมายาวนาน
จึงเรียนมาเพื่อขอความเข้าใจว่า วัดพระธรรมกายและหลวงพ่อธัมมชโย ไม่ได้ทำผิดอะไร เหมือนที่สื่อมวลชนรุมกล่าวหา หากจะมีความผิด ก็เพียงตรงที่ว่า เท่าที่ผ่านมาวัดพระธรรมกายโดดเด่นเกินไป จึงต้องเข้าตำราสุภาพษิต "จงทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย" เท่านั้นเอง ซึ่งมันเป็นความผิด ที่ผู้มีศักยภาพสูงทั้งหลาย มักล่วงล้ำกระทำลงไปโดยไม่ตั้งใจทั้งนั้น หาได้ความผิดให้ต้องถูกลงโทษแต่ประการใดไม่
ด้วยความเคารพอย่างสูง นภอร และกลุ่มเพื่อนสหธรรมิกในโตเกียว
ไอ้ทิด