ปีที่ 2 ฉบับที่ 696 ประจำวันจันทร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2542
ปุจฉา วิสัชนา
เรียนไอ้ทิด
พวกเราเป็นแฟนประจำของ น.ส.พ.พิมพ์ไทย มาตลอด ตั้งแต่ที่มีข่าวโจมตีพระพุทธศาสนา ตลอด 6-7 เดือนมานี้ พวกเราทนไม่ได้ ที่สื่อ ต่างๆ รุมทึ้งวัดพระธรรมกาย
กัด จิก พระธัมมชโย แบบไม่ปล่อย หนำซ้ำลามปามไปยังมหาเถระ และจะไปปลดพระสังฆราชฯ มองดูแล้ว สังคมวิปริตไปมากมาย เหลือเกิน มองความดีของคนไม่ออก จับผิดเขาแต่ในแง่ร้ายๆ สงสัยจะประสาทแดกเสียแล้วกระมัง สังคมปัจจุบันนี้ ใครเสียงดัง มุทะลุดุดัน แสดง วาจา เกรี้ยวกราด โหวกเหวก โวยวาย พวกนี้จะชนะ ไอ้ประเภทนั่งเงียบๆ สงบเสงี่ยม อยู่ในศีลในธรรม ไม่โต้ตอบ พวกนี้คือพวกผิด น่าสงสาร พวกปฏิบัติธรรมน่ะ ด่าใครเขาไม่เป็น ฝากไอ้ทิดช่วยจัดการแทนให้หน่อยก็แล้วกัน
วานซืนได้อ่านพุทธพยากรณ์ เขียนว่า "พวกอธรรมจะพูดจ้อ พวกธรรมะจะเป็นใบ้" ตรงเป๊ะกับเหตุการณ์ปัจจุบันนี้เชียว
พวกเราขอให้กำลังใจกับ "พิมพ์ไทย" ขอให้เจริญยิ่งๆ ขึ้นไป คราใดที่พิมพ์ไทยพัฒนารูปแบบ สีสัน ปกหน้า หัวข้อหนังสือ เรารู้สึกดีใจ ตามไปด้วย ขนาดพี่น้องต่างจังหวัด
เขาเข้ามากรุงเทพฯ ยังถามหา "พิมพ์ไทย" เลยขออานิสงส์ที่ปกป้องคนดี ปกป้องพระพุทธศาสนา ขอให้ "พิมพ์ไทย" อยู่แนวหน้าโดยเร็วไว
ชาวพุทธคนหนึ่ง
ข่าวสารด้านเดียว วัดพระธรรมกาย และสังคมไร้สติ
"กัลยาณวาท"
หากเปรียบวัดพระธรรมกายเป็นต้นไม้ใหญ่ เคยแผ่กิ่งก้านสาขา สร้างความสงบเย็นแก่นกกาที่มาอาศัย ในวันนี้ อาณาบริเวณโดยรอบ กำลังร้อนระอุ ท้องทุ่งเหลืองระบัดใกล้ลุกเป็นไฟ ฝูงวิหคนกกาส่งเสียงร้องระเบ็งเซ็งแซ่
ไม่รู้ว่า ไม้ใหญ่ต้นนี้จะยืนหยัดต่อไปได้นานแค่ไหน
สื่อมวลชนโจมตีวัดพระธรรมกายอย่างเอาเป็นเอาตาย โจมตีชนิดแพ้ไม่ได้ คล้ายๆ ว่า ถ้าแพ้แล้ว จะทำให้คนหลายคน ต้องเดินเอาปี๊บ คลุมหัว แทบจะต้องเลิกอาชีพสื่อมวลชนกันไปเลยทีเดียวแหละ
การแพ้ไม่ได้นี้ ทำให้เกิดผลหลายอย่างตามมา คือวัดพระธรรมกายก็พลอยพ้นจากความผิดไม่ได้ตามไปด้วย
ในเมื่อสื่อตัดสินให้วัดผิดเสียแล้ว อีกร้อยปีพันปีวัดก็ต้องผิดอยู่วันยังค่ำ
วัดจะถูกได้อย่างไร
ในเมื่อถ้าวัดถูก สื่อก็ต้องผิด
และเมื่อสื่อยอมรับว่าตนผิดเสียแล้ว จะทำอย่างไรกับความน่าเชื่อถือของสื่อมวลชน
ดังนั้น วัดพระธรรมกาย เมื่อถูกพิพากษาให้ผิดแล้ว ก็ต้องผิดต่อไป ไม่มีวันและไม่มีทางจะถูกขึ้นมาได้
สิ่งใดก็ตามที่จะเป็นข้อดีของวัด สื่อก็เพิกเฉย ไม่เสนอมันเสียอย่างนั้นแหละ
หรือเสนอก็บิดเบือนเสียให้ขาวกลายเป็นดำ หรืออย่างดีก็เป็นสีเทาแก่
ปล่อยให้จรรยาบรรณของสื่อมวลชน ละลายหายไปกับความแห้งแล้งของเศรษฐกิจยุค ไอเอ็มเอฟ
พระราชภาวนาวิสุทธิ์ แห่งวัดพระธรรมกาย ท่านได้เรียกร้องขอความเห็นใจจากสื่อมวลชน และจากเจ้าหน้าที่ของกรมการศาสนา ที่มา คอยจ้องจับผิดท่าน ในการเทศนาสั่งสอนประชาชน ที่วัดพระธรรมกาย อันเป็นกิจที่ท่านกระทำเป็นปกติทุกวันอาทิตย์
ท่านขอพูดถึงพระนิพพาน
พระนิพพาน ซึ่งเป็นเป้าหมายแห่งการเกิดมาของท่าน เป็นความใส่ใจของท่าน ตลอดการเดินทางผ่านชีวิตอันยาวนาน
นี่เป็นการเรียกร้องสิทธิในการสอนศาสนา
เป็นสิทธิในการสอนในวัดของท่านเอง แก่บุคคลที่เป็นศิษย์ของท่านเอง ไม่เกี่ยวกับคนภายนอกที่ตั้งหน้าตั้งตาจ้องจับผิดเฉพาะท่าน จนถึง กับอยากจะออกกฎหมายมาบังคับใช้เฉพาะตัวท่าน โดยไม่คำนึงถึงความชอบธรรม ตามกฎหมายและศีลธรรมแต่ประการใด
เสียงเรียกร้องของท่าน คล้ายเสียงของเหล่าชนผู้เคยถูกกดขี่ครั้งอดีตกาล เป็นเหล่าชนที่เรียกร้องเสรีภาพ ในการแสดงความเห็นที่แตกต่าง หรือเสนอคำสอนที่แตกต่าง
คล้ายเสียงแหบโหยของสื่อมวลชน ที่เคยเพรียกหาความยุติธรรม จากทรราชย์ยุคบรรพกาล ก็สื่อมวลชนนี้เองไม่ใช่หรือ ที่เคยยอมพลีชีวิต สังเวยเสรีภาพในการแสดงความเห็นที่แตกต่าง ในสังคมที่ทรราชย์ พยายามบีบเค้นประชาชนให้เป็นทาสของแนวคิดหนึ่งเดียวมาแล้ว
วันนี้ เหตุใดสื่อมวลชนจึงเปลี่ยนแปลงไป และเป็นการเปลี่ยนชนิดหักมุมไป สู่จุดตรงกันข้าม
คือ จุดของการเล่นบททรราชย์กันเลยทีเดียว
สื่อมวลชนกำลังใช้อำนาจของตน ในการปิดปากผู้อื่น อยู่หรือไม่
แท้ที่จริงสิทธิในการสอนศาสนา เป็นสิทธิ์ของสงฆ์โดยถูกล้วนทุกประการ และสิ่งที่พระราชภาวนาวิสุทธิ์ ท่านสอนนั้น ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับ เป้าหมายสูงสุดของศาสนา คือ พระนิพพาน มิใช่เรื่องการบ้านการเมือง หรือเรื่องไสยศาสตร์นอกพระไตรปิฎก ที่กำลังมีผู้เลื่อมใสศรัทธากัน ทั่วบ้านทั่วเมือง
แต่พระเดชพระคุณพระราชภาวนาวิสุทธิ์ กลับต้องเรียกร้องขอสิทธิ์ จากสื่อมวลชนและจากเจ้าหน้าที่บ้านเมือง
สังคมนี้ยังมีสติกันอยู่อีกหรือ?
ปัญหาหนึ่งที่ควรจะคิดกันก็คือว่า ทำไมจึงมีบุคคลเพียงกลุ่มเดียวเท่านั้น ที่ได้รับอนุญาตให้พูดเรื่องนิพพานได้อย่างไม่มีขอบเขตจำกัด
พระสงฆ์ที่ออกมาพูดว่า นิพพานเป็นอนัตตา ได้รับการยกย่องอย่างมโหฬารพันลึกว่า เป็นประหนึ่ง พระสารีบุตรอัครสาวกเบื้องขวา ของ พระพุทธองค์ ว่ากันถึงขนาดนั้น
สื่อมวลชนพอใจที่จะเสนอความคิดเห็นของคนกลุ่มนี้ โดยทำเป็นเฉยเสียกับหน้าที่ของสื่อมวลชน ในการที่จะต้องเสนอข่าวสาร ด้วย ความหลากหลาย
ใครที่ออกมาพูดว่า นิพพานเป็นอัตตา หากไม่ใช่วัดพระธรรมกาย ก็แล้วไป ยังพอยอมๆ กันได้ ยิ่งถ้าเป็นสายวัดป่าออกมาพูด สื่อมวลชน ก็ทำเป็นเฉยๆ เสีย เหมือนไม่ได้ยิน แต่ถ้าวัดพระธรรมกายเป็นผู้พูด ก็ต้องถือกันว่า เป็นเรื่องใหญ่เรื่องโต แต่ถ้าวัดพระธรรมกายเป็นผู้พูด ก็ต้องถือ กันว่า เป็นเรื่องใหญ่เรื่องโต เป็นเรื่องมิจฉาทิฏฐิ เป็นเหตุแห่งสังฆเภท ใส่สีตีข่าวกันอึกทึกครึกโครมกันเลยทีเดียว
เรื่องสังฆเภทนี่ก็อีกเหมือนกัน พินิจดูให้ดีก็จะเห็นว่า ใครกลุ่มไหนกันแน่ ที่กำลังทำสังฆเภท ตะโกนให้คนอื่น แยกลัทธิแยกนิกายอยู่ปาวๆ
สื่อมวลชนจาบจ้วงเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย เหมือนกับโกรธแค้นชิงชังกันมาช้านาน ทั้งๆ ที่หน้าของท่านทั้งหลาย ก็ยังไม่เคยเห็น เสียง จริงๆ ของท่าน หลายคนก็ยังไม่เคยได้ยิน คุณธรรมของท่านจะมีอยู่เพียงใด ตนก็ไม่เคยได้สัมผัส
วัดพระธรรมกาย ตนก็ไม่เคยไปเหยียบให้เสียศักดิ์ศรีของสื่อมวลชน ซึ่งในขณะนี้ ว่ากันว่า สูงส่งเลิศลอย อยู่เหนือฟากฟ้า ป่าหิมพานต์
กระจกที่สื่อมวลชนยื่นให้พระส่องนั้น แท้ที่จริง มิได้สะท้อนภาพใครนอกจากใบหน้าอันยับยู่ยี่ด้วยแรงโทสะของคนที่ถือกระจกนั่นเอง
ทำร้ายคนธรรมดา คนหนึ่งมองเห็นผลแค่น้ำตา แต่โจมตีให้ร้ายพระสงฆ์ หากท่านเป็นผู้บริสุทธิ์ ย้ำ.. หากท่านเป็นผู้บริสุทธิ์ จะเกิดผลล้ำลึก สักเพียงใด ก็ยังไม่รู้เลย
ถือเป็นการเสี่ยงภัยของสื่อมวลชน ทั้งในโลกนี้ และโลกหน้า
เป็นเรื่องที่น่าวิตกที่สื่อมวลชนทุกประเภท พากันรวมหัวโจมตี ด่ากราด ด้วยถ้อยคำหยาบคาย ด้วยภาพล้อที่ประนามหยามเหยียด พระภิกษุ รูปหนึ่ง และวัดๆ หนึ่ง
ด้วยระยะเวลาอันยาวนานกว่าครึ่งปี
เป็นเวลานานพอที่จะทำให้คนดีๆ ที่สติสตังสมประกอบ จะต้องพากันเลอะๆ เลือนๆ กลายเป็นคนไร้สติ เชื่อไปตามที่สื่อมวลชน ด่า ประนาม โดยทุกประการ
แต่อย่างไรก็ตาม สภาวะที่สื่อมวลชนทุกแขนง รวมหัวกันเสนอข่าวสารด้านเดียว เช่นนี้ ได้สะท้อนภาพของความผิดปกติอย่างยิ่ง ในวงการ สื่อมวลชนไทย ซึ่งแต่ไหนแต่ไรมา ยึดถือประเพณีของข่าวสารที่หลากหลายเป็นที่ตั้ง
หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ เป็นสื่อของสังคมประชาธิปไตยในการเช่นนั้น จำเป็นต้องให้ข้อมูลที่หลากหลายแก่ประชาชน
สื่อที่ละเมิดหลักการดังกล่าว ย่อมมิใช่อื่นใด นอกจากสื่อที่ละเมิดหลักการประชาธิปไตย
กลายเป็นสื่ออนาธิปไตยไป
ปัญหามีอยู่ว่า อะไรเป็นสาเหตุของปรากฎการณ์ดังกล่าว
อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณผ่อง เล่งอี้ ถูกนักข่าวตำหนิว่า ออกมาให้ข้อมูลสับสน ก็คนทั้งประเทศเขากำลังเชื่อว่า วัดพระธรรมกายผิด อยู่ดีๆ คุณผ่องมาพูดใน TV กับคุณสุภาพ คลี่ขจายว่า วัดพระธรรมกายถูก ได้อย่างไร บางทีความคิดเห็นของนักข่าวเช่นนี้ อาจจะให้คำตอบกับ ปรากฏการณ์ที่กำลังตั้งปัญหาอยู่นี้ได้
คือนักข่าวแกไม่รู้จริง หรือไม่ก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ว่า แกมีหน้าที่จะต้องเสนอข่าวสารที่หลากหลาย
และแกก็นึกเอาว่า สื่อมวลชนมีสิทธิที่จะจุดประเด็นอะไร จะแสดงจุดยืนเข้าข้างใครเมื่อไหร่ก็ทำได้ จะรวมหัวกันด่าใครนานเท่าไหร่ ก็ทำได้ ไม่มีขอบเขตจำกัด และแกอาจจะฝังหัวกับอนัตตามากเกินไปจนไม่เชื่อเอาเสียเลยว่า ความเป็นกลางมีอยู่จริงในโลกนี้
ยิ่งจรรยาบรรณของนักข่าว หรือพิธีกรรายการโทรทัศน์ด้วยแล้ว แกก็คงนึกไม่ถึงเลยทีเดียว
ข่าวสารด้านเดียว ที่โหมประโคมกันอย่างรุนแรงนั้น เสี่ยงต่อการพิพากษาลงโทษคนดี และได้กลายเป็นกรณีละเมิดสิทธิมนุษยชน ละเมิด รัฐธรรมนูญ ละเมิดสิทธิของชาวธรรมกาย ในอันที่จะสดับตรับฟังคำสอน ทางศาสนาตามความเชื่อของตนอีกด้วย
เพราะสื่อมวลชนทำเหมือนว่า ผู้อื่นใดในโลกนี้ ล้วนไม่มีสิทธิ์ที่จะพูด ยกเว้นแต่สื่อมวลชน และคนที่สื่อมวลชนอนุมัติให้พูดเท่านั้น
ซึ่งย่อมไม่แตกต่างจากการโฆษณาชวนเชื่อ
รังแต่จะปลุกเร้าอารมณ์ของผู้อ่านผู้ชมให้คุโชนไปด้วยไพ่โกรธ แค้นอาฆาต
ในกรณีเช่นนี้ สื่อมวลชนกำลังนำประชาชนไปสู่สังคมที่ไร้เหตุผล
เพราะเหตุผลไม่ถูกนำมาใช้ในการเสนอข่าวสารและความเห็นอีกต่อไป
ในท่ามกลางความร้อนเร่าแห่งเพลิงอารมณ์ ไม่มีคำว่า เมตตาธรรม หลงเหลืออยู่ในหัวใจของสื่อมวลชน เพราะในสงครามที่สื่อมวลชน ลงมาต่อสู้กับเหยื่อข่าวด้วยตนเองนั้น คำว่ายุติธรรมไม่จำเป็นต้องคำนึงถึง
กรุงเทพฯ
ไอ้ทิด