ปีที่ 2 ฉบับที่ 696 ประจำวันจันทร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2542
หน้า 1
พระธัมมชโยประกาศ ยกที่ดินให้วัด
ลงชื่อไปแล้ว กรรมการวัดแจ้ง
รอให้ศาลสงฆ์จบ โอนโฉนดภายหลัง
พระราชภาวนาวิสุทธิ์ ยืนยัน "ยก" ที่ดินให้วัดไปหมดแล้ว ขึ้นอยู่กับกรรมการว้ดจะโอนเมื่อไหร่เท่านั้นเอง ด้านกรรมการวัดพร้อม โอน ที่ดิน ทันที แต่ต้องหลังศาลสงฆ์ พิจารณาคดีเสร็จสิ้น ย้ำไม่เคยใช้เงินของวัดไปกว้านซื้อที่ดิน เผยที่ไม่โอนเป็นของวัด เพราะต้องการนำไปพัฒนา เพื่อประโยชน์ทางพุทธศาสนา สร้างวัด สร้างสถานศึกษา ส่วนกรณีของ "ป้าสาลี่" นั้น ทางวัดแจง จ่ายเงินให้ไปแล้วกว่า 4 ล้าน แต่ยังไม่ยอมออก จากที่ดินตามสัญญา
พระราชภาวนาวิสุทธิ์ เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย เปิดเผยว่า ได้มีเจตนายกที่ดินที่อยู่ในชื่ออาตมา ให้เป็นของวัดไปนานแล้ว ขอย้ำว่า เป็น การยกที่ดินให้ ไม่ใช่การโอนแต่อย่างใด ทีนี้ขั้นตอนยังอยู่ในระหว่างการดำเนินการโอนของคณะกรรมการวัด ซึ่งอาตมาก็ได้เร่งให้ดำเนินการ โดยเร็วมาตลอดเวลา
"หลวงพ่อเชื่อในความยุติธรรมของศาลสงฆ์ มหาเถรสมาคม ตลอดจนรัฐบาลว่า จะให้ความยุติธรรมแก่หลวงพ่อได้ ไม่ต้องหาทนายมา แก้ต่างให้หลวงพ่อ หลวงพ่อเชื่อในความบริสุทธิ์ใจของตนเอง"
รายงานข่าวจากคณะกรรมการวัดพระธรรมกาย แจ้งว่า กว่า 7 เดือนแล้ว ที่ได้มีกระแสการวิพากษ์วิจารณ์โจมตี วัดพระธรรมกาย ทาง สื่อมวลชนในประเด็นต่างๆ เช่นเรื่องเจ้าอาวาสถือสัญชาติอเมริกัน มีกรีนการ์ด เรื่องสีกา และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งเมื่อได้มีการตรวจสอบพบว่า ข้อกล่าวหาตามกระแสเหล่านั้น ไม่มีมูลความจริง แต่ก็ได้มีการจุดประเด็นอื่นๆ ขึ้นมาอีก เช่น ที่เป็นข่าวครึกโครมอยู่ในเวลานี้คือ เรื่องที่ดิน ซึ่งแบ่งได้เป็น 2 กรณีคือ
ก. กรณีการถือครองที่ดินของพระราชภาวนาวิสุทธิ์
ข. กรณีที่ดินของมูลนิธิธรรมกายซึ่งซื้อจากนางสาลี่ เพ็ชรชูดี จ.สุพรรณบุรี
กรณีที่ดินของพระราชภาวนาวิสุทธิ์มีทั้งสิ้น 16 จังหวัด มีเนื้อที่รวมประมาณ 1,700 กว่าไร่ ที่ดินเหล่านี้ ไม่มีการนำเงินของวัดไปซื้อ หรือ โอนแต่ประการใด ญาติโยมผู้ถวายหลายราย มิใช่ผู้มีฐานะร่ำรวย แต่ตั้งใจถวายเพราะเลื่อมใสในปฏิปทา และเห็นถึงความตั้งใจจริง ในการเผยแพร่ ศาสนา ของพระราชภาวนาวิสุทธิ์
พระราชภาวนาวิสุทธิ์ ไม่มีวัตถุประสงค์นำที่ดินดังกล่าว ไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัวแต่อย่างใด เพราะได้ตั้งใจนำที่ดินทุกผืน มาทำ ประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา โดยเมื่อมีความพร้อมทั้งด้านบุคลากร และทุนทรัพย์ ก็จะได้พัฒนาจัดสร้างเป็นวัด ธุดงคสถาน สถานที่ปฏิบัติธรรม หรือ สถาบันการศึกษา ที่เน้นการอบรมศีลธรรม ตามความเหมาะสมของพื้นที่แต่ละแห่งต่อไป นอกจากนั้น จะได้ดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์ให้วัด มูลนิธิ หรือนิติบุคคลทางการศึกษา ที่จะได้จัดตั้งขึ้นมาใหม่ เมื่อโครงการแล้วเสร็จ
ที่ดินเมื่อยกให้วัดเป็นธรณีสงฆ์แล้ว จะมีข้อจำกัดในการใช้ประโยชน์หลายประการ เช่น หากต้องการนำที่ดินไปสร้างวัดใหม่ ก็ไม่ สามารถทำได้ เพราะจะกลายเป็นวัดซ้อนวัด ซึ่งพระวินัยห้ามกระทำ หรือหากจะนำที่ดินไปจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล ด้านสถาบันการศึกษา ก็ไม่สามารถทำได้ ที่ดินบางแปลงก็เป็นที่ตาบอด ยกให้วัด ก็ไม่อาจใช้ประโยชน์ได้ เจ้าของเดิมก็ยินยอมให้มีการนำออกขาย เพื่อนำเงินมาบำรุง พระพุทธศาสนา
นอกจากนี้ พระภิกษุสงฆ์ สามารถถือครองที่ดินได้ กฎหมายรัฐธรรมนูญ และประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ได้รับรองสิทธิ อันชอบ ธรรมนี้ การที่พระภิกษุถือครองที่ดินอันเป็นส่วนตัว ไม่ยกให้วัด ไม่ต้องอาบัติปาราชิกแน่นอน และความจริง ก็มีพระภิกษุถือครองที่ดินส่วนตัว มากมาย
ก่อนหน้านี้ พระราชภาวนาวิสุทธิ์ ได้ตอบตกลง และทำหนังสือแสดงเจตนารมณ์ในการยกที่ดินให้วัดโดย
1.ให้เป็นไปตามความยินยอม และวัตถุประสงค์ของผู้บริจาคแต่ละราย
2. ดำเนินการให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่งานพระพุทธศาสนา และได้มอบหนังสือแสดงเจตนาให้แก่อธิบดีกรมการศาสนา นำกราบเรียน เสนอมหาเถรสมาคม เพื่อทราบ เมื่อวันที่ 9 พ.ค.2542
แต่ในขณะที่อยู่ระหว่างการดำเนินการนั้นเอง ปรากฏว่า นายมาณพ พลไพรินทร์ และนายสมพร เทพสิทธา ก็ได้กล่าวหา นิคหกรรม (ฟ้องศาลสงฆ์) พระราชภาวนาวิสุทธิ์ ต่อเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีว่า ฉ้อโกงที่ดินที่อยู่ในระหว่างการดำเนินการยกให้วัด
ยิ่งกว่านั้น ยังมีผู้ออกมาแสดงความเห็นชี้นำสื่อมวลชนว่า เมื่อพระราชภาวนาวิสุทธิ์ โอนที่ดินยกให้วัด ก็เท่ากับเป็นการยอมรับ โดยปริยาย ว่า ได้ฉ้อโกงและยักยอกที่ดินของวัดไปจริง ถือว่า ความผิดได้เกิดขึ้นแล้ว แม้โอนที่ดินให้วัด ก็ไม่อาจลบล้างความผิดนั้นได้ เพราะถ้าไม่ใช่ที่ดิน ของวัด ก็ไม่อาจลบล้างความผิดนั้นได้ เพราะถ้าไม่ใช่ที่ดินของวัด เป็นที่ดินส่วนตัวของพระราชภาวนาวิสุทธิ์ แล้วจะโอนให้วัดทำไม ซึ่งไม่เป็น การยุติธรรมต่อพระราชภาวนาวิสุทธิ์ เป็นอย่างยิ่ง
ดังนั้น เมื่อมีการกล่าวหาเกิดขึ้น ก็ถือว่า เรื่องนี้ได้เข้าสู่การพิจารณาของศาลสงฆ์แล้ว การดำเนินการทุกอย่าง จึงควรรอการพิจารณาของ ศาลสงฆ์ ให้ถึงที่สุดก่อน มิใช่พยายามสร้างกระแสกดดัน รวมทั้งมีกลุ่มบุคคลบางกลุ่มก่อความวุ่นวาย ใช้ความรุนแรงทั้งถ้อยคำ และการกระทำ โดยไม่เคารพกฎหมายบ้านเมือง เพิ่มแรงกดดันในสังคมให้มากขึ้นไปอีกเช่นนี้
พระราชภาวนาวิสุทธิ์ ยืนยันที่จะยกที่ดินทั้งหมด ให้แก่วัดพระธรรมกาย โดยให้ เป็นไปตามความยินยอม และวัตถุประสงค์ของผู้บริจาค แต่ละราย และดำเนินการให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่งานพระพุทธศาสนา ตามเจตนารมณ์ที่ได้แสดงไว้ตั้งแต่ต้น แม้ในรายที่เจ้าภาพคัดค้าน การ โอนที่ดินให้วัดพระธรรมกาย คณะกรรมการก็จะได้ปรึกษาเจ้าภาพ หาแนวทางการดำเนินการเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อพระศาสนา โดย พระราชภาวนาวิสุทธิ์ จะไม่ถือครองที่ดินเพื่อประโยชน์ส่วนตนเลย แม้แต่แปลงเดียว
สำหรับเรื่องกรณีที่ดินของมูลนิธิธรรมกาย ที่ซื้อจาก นาง สาลี่ เพ็ชรชูดี จ.สุพรรณบุรีนั้น เนื่องจาก มูลนิธิมีโครงการจัดสร้าง อนุสรณ์สถาน บ้านเกิดหลวงพ่อวัดปากน้ำฯ ที่ อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี และการดำเนินการดังกล่าวนี้ มีคณะกรรมการศูนย์กัลยาณมิตรสุวรรณ ภูมิแก้ว เป็น ผู้รวบรวมเงิน จำนวน 4 ล้านบาทเศษ เพื่อดำเนินการเกี่ยวกับที่ดินของนางสาลี่ จำนวน 2 ไร่ 3 งาน 94 ตารางวา โดยชำระเป็นค่าที่ดิน ค่าซื้อที่ดิน แปลงใหม่ ค่าถมดิน และค่ารื้อถอน เป็นงวดๆ ดังนี้
วันที่ 7 ก.พ.2539 รับเงินไปจำนวน 160,000 บาท วันที่ 13 มี.ค. 2539 รับเงินไปจำนวน 3,000,000 บาท วันที่ 10 เม.ย. 2539 รับเงินไป จำนวน 500,000 บาท วันที่ 8 ก.ค.2539 รับเงินไปจำนวน 1,000,000 บาท
หากคิดเป็นค่าที่ดินแล้ว เฉลี่ยตกไร่ละเกือบ 1,600,000 บาท สูงกว่าราคาที่ดินที่มีการซื้อขายโดยทั่วไปในย่านนั้น การจัดซื้อครั้งนี้ มีการ ทำสัญญาซื้อขายถูกต้องเรียบร้อย มีหลักฐานการรับเงินทุกอย่างครบ ขณะนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของมูลนิธิธรรมกาย แต่นางสาลี่กับพวก ก็ขอ ผัดผ่อน อยู่ในที่ดิน ไม่ยอมย้ายบ้านออกไปตามที่ตกลงกันไว้ และขณะนี้เมื่อเห็นว่า วัดพระธรรมกายและมูลนิธิธรรมกาย กำลังถูกโจมตีในเรื่องต่างๆ จากสื่อมวลชน จึงได้มาเรียกร้องขอที่ดินคืน หรือมิฉะนั้น ก็ขอเงินเพิ่ม ทั้งที่สัญญาซื้อขายทุกอย่าง ได้ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้วถึง 3 ปี ทาง มูลนิธิฯ จึงไม่สามารถนำเงินบริจาคไปมอบให้ใคร อย่างไม่มีเหตุผลได้
ที่สำนักงานใหญ่ มูลนิธิธรรมกาย ได้จัดแถลงข่าวเกี่ยวกับการถือครองและการโอนที่ดิน ของเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ในเวลา 10.30 น.
นายมานิต รัตนสุวรรณ ที่ปรึกษาวัดพระธรรมกาย แถลงข่าวกรณีนายอาคม เอ่งฉ้วน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กำหนด ให้มีการโอนที่ดินในการครอบครองของเจ้าอาวาส วัดพระธรรมกายให้เป็นของวัดภายใน 7 วันว่า ได้รับหนังสือจากนายพิภพ กาญจนะ อธิบดีกรม การศาสนาแล้ว แต่ทางวัดมีความเห็นแตกต่างในแง่มุมด้านกฎหมาย และเห็นว่าการเร่งโอนที่ดินเป็นคดีความทางแพ่ง ดังนั้น ขณะนี้จึง พยายาม ติดต่อขอไปคุยและชี้แจงเพื่อให้ได้ข้อยุติเรื่องนี้กับนายอาคม ซึ่งคณะกรรมการจัดการที่ดินของเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ยืนยันที่จะให้มีการ พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของ เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายก่อนโอน
เพราะว่ามีมุมกฎหมายที่ไม่เหมือนกัน ผมคิดว่าเรื่องที่ไปแสดงเจตนาแล้วผิดเจตนา ผมคิดว่าเป็นคดีแพ่ง เราก็ปรึกษาทางกฎหมายของเรา แล้ว ดังนั้น มุมกฎหมายตรงนี้ไม่เหมือนกัน แต่จริง ๆ ที่จะพบท่านอาคม นอกจากจะชี้แจงแล้วอธิบาย ก็คิดว่ามันมีวิธีที่น่าจะยุติเรื่องนี้
ที่ปรึกษาวัดพระธรรมกาย กล่าวด้วยว่า ขณะนี้ถือว่าเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย มีเจตนายกที่ดินให้วัดแล้ว และสั่งการให้ดำเนินการโดยเร็ว แต่คณะกรรมการฯ ต้องพิจารณาให้รอบคอบ ไม่ให้เกิดความเดือดร้อนเสียหายภายหลัง
นายมานิต กล่าวถึงกรณี ด.ญ.กัลยา เลิศตระกูลพิทักษ์ ออกมาร้องเรียนสื่อมวลชน โดยต้องการขอเงินที่มารดาบริจาค ให้กับ วัดพระธรรมกาย จำนวนกว่า 200,000 บาทคืนว่า มารดาของเด็กเคยมาที่วัดแล้ว แม้ว่าจะให้การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ทุกคน แต่กรณีทำบุญ แล้ว จะมาขอคืนคงให้ไม่ได้ เพราะจะกลายเป็นบรรทัดฐานให้คนอื่นทำตาม และเงินที่ได้จากการบริจาค ก็นำไปสร้างมหาธรรมกายเจดีย์หมดแล้ว ถ้าคืนเงินให้ จะเป็นบรรทัดฐาน ต่อไปนี้ ใครก็จะมาขอคืนเงินจากวัด วัดจะเอาเงินไปไหน ก็ไปสร้างเจดีย์ไปแล้ว จะนำเงินตรงไหนมาให้ แล้ว จะเป็นบรรทัดฐาน ในชีวิตที่เกิดมา ผมก็ทำบุญไม่รู้กี่วัด เพิ่งได้ยินว่าขอเงินคืนจากวัด ถ้าจะฟ้องจริง ๆ ก็ต้องหาผู้ปกครอง ที่บรรลุนิติภาวะ มาฟ้องกัน
ต่อข้อถามว่าที่วัดชักชวนให้คนทำบุญ แล้วบอกว่าจะเกิดปาฏิหาริย์และยิ่งมีเงินมากขึ้น จึงทำให้มีการทำบุญกันมาก แต่ทำไมรายนี้ จึง เดือดร้อน นายมานิต กล่าวว่า เมื่อทำบุญมากก็ยิ่งได้บุญมากคืออริยทรัพย์ ทรัพย์ข้ามภพข้ามชาติ แต่โลกิยทรัพย์เป็นเรื่องของส่วนบุคคล หาก ทำมาค้าขายล้มเหลวจะมาโทษ หรือกล่าวหาเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายไม่ได้ ส่วนความคืบหน้าการสร้าง มหาธรรมกายเจดีย์นั้น จะเสร็จเรียบร้อย ในเดือนธันวาคมปีนี้ และองค์เจดีย์จะเสร็จสมบูรณ์ในวันมาฆบูชาปีหน้า ตรงกับวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2543