ปีที่ 2 ฉบับที่ 633 ประจำวันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2542

สกู๊ปพิเศษ

อ.เจริญ สุพร

บทสรุปสังคมวิปริตซาตาน ตีได้แค่หาง "ธรรมกาย"

พิมพ์ไทยปลาว่ายทวนน้ำ บทพิสูจน์กรณีวัดพระธรรมกาย

ทุกตัวอักษรที่เรียงร้อยถ้อยคำทั้งติทั้งชม บุคคลต่างๆ ที่เป็นวิวาทะ ว่าด้วยพระพุทธศาสนาในช่วงนี้ สังเกตสักนิดจะพบว่า ตั้งแต่หน้าต้นๆ ของการเสนอข่าวธรรมกาย จวบจนคณะกรรมการมหาเถรสมาคมมีวินิจฉัยออกมา

หมายความว่า มีคนร่วมกันเขียนหลายคน มีสิ่งที่น่าแปลกปรากฏให้เห็นคือ ต่างคนต่างเขียน และเขียนกันคนละวันคนละเวลา แต่ไฉน ความคิดเห็นของบุคคลต่างๆ เหล่านี้ จึงมุ่งไปในทิศทางเดียวกัน ดูประหนึ่งว่า มีการประชุมโต๊ะกลมหรือลงความเห็นว่า จะเอากันอย่างนี้ แล้วก็ลงมือทำงานกัน

ขอเรียนยืนยันอย่างหนักแน่นว่า หากมีใครเข้าใจเช่นนั้น เป็นการเข้าใจผิด

เหตุที่ผลงานรวมเล่มต่างคนต่างคิดและต่างคนต่างเขียน แต่ดำเนินไปในทิศทางเดียวกันอย่างที่ท่านเห็นอยู่นี้ คงจะเป็นเพราะเหตุ 2 ประการ คือ

ประการที่ 1 ความเป็นอิสระหรือ ความเป็นตัวของตัวเองของบุคคลเหล่านี้มีอยู่เต็มร้อย ไม่คล้อยตามกระแสของสังคม แบบพวกมาก ลากไป จึงรักที่จะเลือกทิศทางการเขียนแบบสวนกระแส แม้จะชนจอมปราชญ์ที่ใครในแผ่นดินนี้ ไม่กล้าแตะ แต่ที่นี่เราเขาเป็นใครกัน ชนโครมเลย

ประการที่ 2 วัดพระธรรมกายผิดอะไรตรงไหนนักหนา ไฉนจึงจ้องจะถล่มทะลายแบบขาดเมตตาธรรม ข้อกล่าวหาฉกาจฉกรรจ์ แบบไม่ให้ ผุดไม่ให้เกิด จากสื่อหลายฉบับจากนักฉวยโอกาสบางคน แน่นอนผลที่สุดเมื่อสอบๆ ดู ก็ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ ทำให้ฉุกคิดว่า เบื้องหลังของ เบื้องหลัง จริงแท้นั้น มันมีอะไรแอบแฝงอยู่ บุคคลเหล่านี้เขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา มิใช่เพราะถูกร้องขอความเป็นธรรมจากวัดพระธรรมกาย หรือจากเหล่ากัลยาณมิตร แต่เป็นภาระเป็นหน้าที่โดยตรงของสื่อผู้บริสุทธิ์ จะต้องยืนอยู่เคียงข้างคนถูกรังแก โดยคำนึงอยู่ตลอดระยะเวลาว่า ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจารี ธรรมะย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม

"ธรรมกาย"

พอเอ่ยชื่อพระธรรมกาย คนที่มีความรู้ทางพระพุทธศาสนาอยู่บ้าง จะต้องย้อนอดีตไปอีกยาวไกลหลายสิบปี

คือคิดย้อนหลังไปถึง หลวงพ่อสด ผู้ประกาศการปฏิบัติกรรมฐานแบบธรรมกาย ซึ่งเท่ากับว่า ธรรมกาย คือ มรดกธรรมที่หลวงพ่อสด มอบให้แก่ชาวโลก มิใช่เป็นมรดกเล็กน้อยหรือคับแคบแค่ชาววัดปากน้ำ ภาษีเจริญ หรืออารามอื่นๆ เชื้อสายธรรมกายเท่านั้น

มรดกของหลวงพ่อสดวัดปากน้ำ ที่หมายถึงธรรมกายนี้ เป็นเกาะกันอริศัตรู จากมนุษย์และอมนุษย์ เป็นเกาะเป็นที่พึ่ง ให้ผู้ประพฤติปฏิบัติ ธรรม เพื่อธรรมกาย ล่วงพ้นจากโอฆะสงสารได้แท้แน่นอน

เป็นประเพณีของคนไทยเรา จะไม่เอ่ยชื่อเอ่ยนามผู้ใหญ่ที่ตนเคารพนับถือ ออกมาตรวจหากจำเป็นต้องพูดถึง ก็เอ่ยแค่ถิ่นที่อยู่หรือสำนัก เท่านั้น  ฉะนั้น หลวงพ่อวัดปากน้ำ ที่ใครๆ เอ่ยถึงนั้น ก็องค์เดียวรูปเดียวกับหลวงพ่อสด นั่นเอง

หลวงพ่อสดเป็นพระที่มากด้วยประสบการณ์ ผ่านสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ครั้งที่สอง เห็นความล่มจมหายนะของประเทศปกติยามสงคราม เห็นความอดอยากหิวโหย ของมวลมนุษย์เห็นความทนทุกขเวทนา จากโรคภัยไข้เจ็บของเพื่อนมนุษย์ที่ยากไร้ เห็นความฟอนเฟะในสังคมมนุษย์ ผู้ขาดระเบียบวินัย ไร้ศาสนาไร้ศีลธรรม

ต่างๆ ดังกล่าวไว้ข้างบนนี้ คือมูลเหตุให้หลวงพ่อวัดปากน้ำ เกิดแรงมุมานะ ประพฤติ ปฏิบัติธรรมอย่างอุกฤต จนบรรลุธรรมเมื่อ พ.ศ. 2460 และได้สั่งสอนสานุศิษย์เรื่อยมา จากหนึ่งเป็นสิบ เป็นร้อย เป็นพัน เป็นหมื่น และเป็นล้าน เป็นหลายๆ ล้าน

ธรรมกายจึงเป็นมรดกของหลวงพ่อวัดปากน้ำ เป็นอริยทรัพย์สำหรับผู้ประพฤติธรรมทุกเพศทุกวัย ธรรมกายเป็นเนื้อนาบุญ ที่อุดมสมบูรณ์ ดียิ่ง ของมวลมนุษย์

หลวงพ่อวัดปากน้ำ สมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ดี หรือแม้สิ้นไปแล้วเพียงแต่มีรูปเคารพหรือสัญลักษณ์อื่นใด ของหลวงพ่อจึงเป็นขวัญ และกำลังใจ อย่างยิ่งเลิศ สำเร็จทุกๆ คน

มิเป็นการสมควรอย่างยิ่ง ที่คนเกิดวานซืน เผอิญท่องจำตำราเรียนได้แม่นยำ สอบเปรียญธรรมได้ประโยคสูงๆ จะไปบังอาจลบหลู่ดูหมิ่น หลวงพ่อวัดปากน้ำ เป็นอันขาด มันเป็นบาปเป็นอกุศลกรรม

ท่านเหล่านี้ เด็กรุ่นลูก-หลาน ทนบวชได้ในพระศาสนา ครองยศเจ้าคุณ เดินเท้าเปล่าไม่เป็น ต้องไปรถเก๋ง บางราย บวชเรียนมาสูง พ่ายแพ้ต่อกิเลสตัณหา สึกออกมาร่ำสุรานารี แบบชาวบ้าน

วันดีคืนดี นึกครึ้มขึ้นมา ก็ออกมาโจมตีหลวงพ่อวัดปากน้ำ ทั้งสื่อทีวีและสื่อสิ่งพิมพ์

เห็นอย่างนี้เขาบอกได้ว่า ไม่เข้าท่าเหมือนกางตำราออกเล่มหนึ่ง พอเห็นคำว่า พ่อกูชื่อ ขุนศรีอินทิตย์ เขียนด้วยอักษรสมัยปัจจุบัน ซึ่งไม่มีส่วนเหมือนส่วนคล้ายกับศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหง ก็ตะโกนให้ลั่นบ้านลั่นเมืองไปเลยว่า ผิด ผิด ผิด โดยไม่รู้ว่า อะไรผิด

ชักจะบ้าไปกันใหญ่แล้วหรือไร..?

หลวงพ่อวัดปากน้ำ ไม่ใช่พระธรรมดาหรือพอดีพอร้าย ท่านเป็นนักค้นคว้า ท่านเป็นนักปฏิบัติ ท่านเป็นนักปกครอง ท่านเป็นนักเทศน์ ท่านมีอาจารย์ เป็นสมเด็จพระราชาคณะ ถึง 2 องค์ คือ สมเด็จพุฒาจารย์ (เข้ม) และสมเด็จพระวันรัต (เผื่อน) วัดพระเชตุพนฯ มีหลานชายเป็น นักปราชญ์ เป็นถึง สมเด็จพระสังฆราช (สมเด็จป๋า) แห่งวัดพระเชตุพนฯ

แนวการสอน แนวการปฏิบัติของท่านอยู่ในสายตาของพระผู้ใหญ่กว่า อาวุโสกว่า ไม่มีการท้วงติงใดๆ จากพระผู้ใหญ่เหล่านั้นว่า ท่านสอนผิด ปฏิบัติผิด

ฟังทางนี้ก่อน นักปริยัติ...

นักปริยัติรุ่นนี้ อย่าหลงตัวเองให้มากนักเลย เปรียญ 9 หรือ ครองยศเจ้าคุณนั้น มองโลกมองชีวิตด้วยตาชั้นเดียว คือ ตาเนื้อเท่ากัน แต่นักปฏิบัติเขามีตานอกตาใน มีปากไว้รับประทานอาหาร หรือมีไว้สำหรับกล่าวคำสุภาษิต เท่านั้น

ตอบคำถามตรงนี้ให้ได้ก่อน ค่อยค่อนขอดพระนักปฏิบัติ...??

หลังวันเพ็ญเดือน 6 คือ พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว พญามาราธิราชโทมนัส ร้อนถึงธิดา ทั้ง 3 คือ ตัณหา ราคี อรดี มาเปลื้องผ้าผ่อน ของความ เป็นหญิงเฉพาะพระพักตร์

ข้อความนี้มีปรากฏในพระไตรปิฎก ถามว่า เชื่อไหม?...

สายปริยัติดึงเข้าหาวิทยาศาสตร์ว่า มารไม่มี ธิดามาร ก็ไม่มี เพียงแต่ตอนนั้น พระทัยของพระองค์ อาจประหวัดไปถึงเวียงวังที่เคยประทับ จึงมีจินตนาการขึ้นมา

ตอนอย่างนี้นึกว่า โก้ เป็นวิทยาศาสตร์ แต่หารู้ไม่ นี่แหละ คือการลบหลู่พระพุทธเจ้าของนักปริยัติ การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เป็นการ ตรัสรู้ อย่างแท้จริง ไม่เหลาะแหละ เรื่องอะไรพระทัยของพระพุทธเจ้า จะต้องไปหวั่นไหว กับกามารมณ์เช่นนั้น

เรื่องนี้ นักปฏิบัติเขารู้ เขาเห็น สัมผัสได้ ผู้ได้ธรรมกาย จะบอกได้ทันที ไม่อ้อมค้อม

ยังไม่ต้องพาดถึงพญามารดลบันดาลพระอานนท์ ไม่ให้กราบทูลพระพุทธเจ้าเรื่องปลงอายุสังขาร

การนำพระไตรปิฎกมากางแล้วอ้างโน้น อ้างนี่ ต้องชมเชยว่า เป็นของดี การหมั่นศึกษาค้นคว้า เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว

แต่ต้องยอมรับว่า พระไตรปิฎกเกิดหลังพระพุทธเจ้าปรินิพพาน สมัยพระพุทธเจ้าทรงใช้คำเพียง 2 คำ คือ ธรรม กับ วินัยเท่านั้น

จึงขอไว้ว่า เมื่อกางตำราแล้ว หากไม่พบก็ไม่อย่างเพิ่งด่วนตะเพิด ให้คนอื่นเขาหลุดลอยไปเป็นเดียรถีย์ เพราะเขาก็เป็นใบไม้ในป่าใหญ่ ซึ่งมากกว่าใบไม้ในกำมือ

แทรกให้รู้กันลืม

มีนักปฏิบัติพูดกันว่า บรรดาสายปฏิบัติทุกสายในเมืองไทย สายหลวงพ่อวัดปากน้ำ หรือสายธรรมกาย เป็นสายที่กล่าวคำเคารพเทอดทูน พระรัตนตรัยดีที่สุด อ่อนโยนที่สุด ไพเราะเพราะพริ้งที่สุด และถูกกับจริตของคนส่วนใหญ่มากที่สุด

แต่ก็นั่นแหละ นักปริยัติ ท้วงว่า วิธีการรวมๆ ของสายธรรมกาย ไม่มีปรากฏในพระไตรปิฎก คือ ไม่มีคำบริกรรมว่า สัมมา อรหัง

ต้องยอมรับกันล่ะ อย่างว่า จะไม่มีคำว่า สัมมา อรหัง เลยแม้แต่คำว่า ยุบหนอ พองหนอ หรือ ซ้ายย่างหนอ ขวาย่างหนอ อย่างที่วัดมหาธาตุ ยึดถือปฏิบัติกันอยู่ทุกวันนี้ ก็ไม่มีในพระไตรปิฎก เช่นกัน ไม่เห็นมีใครไปชี้หน้าว่า กล่าวให้เขาเสียหาย

อะไรก็เถอะ คนเราเมื่อยามหนาวมาเยือน ผ้าห่มกันหนาว มีความจำเป็น ผ้าห่มผืนนั้น มันจะเป็นสีแดง ขาว เขียว ก็ช่างมัน เมื่อห่มแล้ว กันหนาวได้ ก็น่าจะพอใจแล้ว มิใช่หรือ การปฏิบัติธรรมก็เช่นกัน มันอยู่ที่โอกาส อยู่ที่จริต อยู่ที่บารมี ไม่ควรด่วนปรักปรำ แบบพล่อยปากว่าเอง ผิดเอง ไม่เข้าตำรา ข้าสิดีกว่า

เมื่อปี 2494 สำนักวัดปากน้ำ มั่นคงทั้งด้านปริยัติและปฏิบัติ ชื่อเสียงกระฉ่อนไปทั่วเมืองไทย

สำนักวัดมหาธาตุ มีแต่สายปริยัติเพียงอย่างเดียว พระธรรมไตรโลกาจารย์ ต่อมาเป็น พระพิมลธรรม เจ้าอาวาส วัดมหาธาตุ ได้มีโครงการตั้ง สำนักปฏิบัติธรรมขึ้น จึงได้ส่ง พระมหาโชฎก เปรียญธรรม 9 ประโยค ไปเรียนวิปัสสนาจากประเทศพม่า แล้วกลับมาสอนในเมืองไทย

ตอนหลังเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุ ได้เป็นสังฆมนตรี ว่าการองค์การปกครองซึ่งตำแหน่งนี้เทียบเท่ากับ เสธ.หนั่น ที่เป็น รมว. มหาดไทย ในทุกวันนี้ ตำแหน่งนี้ใหญ่โต และทรงอิทธิพลจริงๆ

ระยะต่อมา พระพิมลธรรม ในฐานะสังฆมนตรี ว่าการองค์การปกครองมองไปว่า วัดมหาธาตุตั้งสำนักวิปัสสนาจขึ้นมาแล้ว โดยมีแบบอย่าง มาจากนอก (คือพม่า) จึงได้เกณฑ์พระสังฆาธิการทั่วประเทศ เข้ารับการปฏิบัติ ไม่เว้น แม้แต่วัดปากน้ำ

เพื่อลดความกดดันและผ่อนกระแสการเมืองสงฆ์ หลวงพ่อวัดปากน้ำ ได้ส่งพระทิพย์ปริญญา ให้ไปกราบพระพิมลธรรม ขอพระมหาโชฎก ไปช่วยสอนวิปัสสนากรรมฐานที่วัดปากน้ำ และหลวงพ่อวัดปากน้ำ ก็ได้นำผลการปฏิบัติช่วงสั้นๆ ออกมาเผยแพร่ และมองภาพพร้อม กล่าวคำชม วัดมหาธาตุ ตามวิสัยของนักปราชญ์ ซึ่งสามารถลดกระแสร้อนผ่อนให้เย็นลงได้อย่างพอใจ

พระนิพพานเป็น ทั้งอัตตา และอนัตตา

มีเรื่องแปลกๆ แต่จริง ที่จ.พระนครศรีอยุธยา มีหมู่บ้านหนึ่ง เรียกสีแดงเป็นสีเขียว เรียกสีเขียวเป็นสีแดง ที่จ.ขอนแก่น มีหมู่บ้านหนึ่ง เรียกแขนซ้ายเป็นแขนขวา และแขนขวาเป็นแขนซ้าย เขาก็รับรู้และอยู่กันได้แบบชุมชนเล็กๆ ยังมีอีก ก่อนหน้านี้ ภาคอีสานแทบทั้งภาค เรียกฝ่าย ที่ได้รับชัยชนะว่า เป็นฝ่ายแพ้ เรียกฝ่ายที่สู้ไม่ได้คือแพ้นั่นแหละว่า เป็นย่าน หรือฝ่ายยั่น เรื่องนี้ ฟังดูแล้วมันเป็นเรื่องขำฝืดๆ แต่ก็เป็นเรื่องจริง เพิ่งจะมาพร้อมใจกัน เรียกแบบเดียวกันกับภาคกลาง ตอนมีวิทยุ โทรทัศน์ กันนี้หรอก

อดที่จะคิดถึงพระนิพพานไม่ได้

เจัาคุณประยุต เจ้าคุณระแบบ เสฐียรพงษ์ ยืนยันว่า พระนิพพานเป็นอัตตา ยืนยันอย่างแข็งขัน เอาเป็นเอาตายให้ได้ ใครว่า พระนิพพานเป็น อัตตาผิด ผิดจากพระไตรปิฎก

แต่ประหลาด พระสายปฏิบัติจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นพระราชพรหมญาณ (ฤาษีลิงดำ) พระราชวิสุทธิโสภณ (หลวงตามหาบัว) สายวัดปากน้ำ ทั้งหมด ต่างยืนยันว่า พระนิพพานเป็นอัตตา

เจ้าคุณประยุต แต่งหนังสือขึ้นมาเล่มหนึ่งชื่อ กรณีธรรมกาย ยืนยัน ในพระไตรปิฎก ว่าพระนิพพานเป็นอนัตตา แต่ฝ่ายหนึ่งแย้งว่า ไม่ใช่ พุทธพจน์ เป็นเพียงคำวินิจฉัยของพระอรรถกถาจารย์เท่านั้น พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสไว้ชัดๆ

พระนิพพาน เป็น อนัตตา หรือ อัตตา

ส่วนหลวงตามหาบัว ท่านพูดไว้น่าฟังว่า ท่านเป็นพระป่าพระดอย ด้อยความรู้ พระไตรปิฎกก็ไม่ได้ตรวจ ได้ค้น ท่านว่าประสาพระป่า ที่ซื่อๆ ว่า ...

ถ้าพระนิพพานเป็นอนัตตา พระนิพพานก็จะเป็นเหมือนไตรลักษณ์ คือ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ตัวพระนิพพาน ก็จะวิเศษวิโสอะไร

ก็ถึงที่ของเราๆ ท่านๆ จะต้องใช้วิจารณญาณ เอาเองแท้ที่จริงแล้ว พระนิพพานเป็นอนัตตาหรืออัตตา

หากใช้วิจารณญาณไม่ถูก สร้างศรัทธาขึ้นมาในหัวใจของตัวเอง ให้ได้ว่า จะเชื่อสติปัญญาของใครดีระหว่างนักปริยัติ โดยมี เจ้าคุณประยุต เจ้าคุณระแบบ เจ้าคุณเสฐียรพงษ์ โอ๊ย.. นายเสฐียรพงษ์ ที่ยืนยันว่า ในพระไตรปิฎกอ้างว่า พระนิพพานเป็นอนัตตา กับ พระสายปฏิบัติอีกเยอะแยะ เช่น ท่านเจ้าคุณฤาษีลิงดำ ท่านเจ้าคุณหลวงตามหาบัว ท่านเจ้าคุณหลวงป๋าเสริมชัย ที่บอกว่า พระนิพพานเป็นอัตตา

อัตตา ที่ว่านี้ ไม่ใช่อัตตาที่ตรงข้ามกับอนัตตา แต่เป็นอัตตาแท้ จะพบได้เมื่อทำลาย อนิจจํ ทุกขํ อนตฺตา และอัตตาแท้

ตัวนี้แหละ คือ อัตตาในพระนิพพาน หรือ อัตตา ตัวเดียวกันกับตัวที่ไปตกในอเวจีมหานรกของเทวทัตนั่นเอง และเป็นอัตตา คนละแบบ กับอาตมัน ในศาสนาพราหมณ์อย่าได้ไขว้เขว

อย่าเสียเวลาเถียงกันให้ยาวความเลย ถ้าพระนิพพานเป็นอนัตตา ก็น่าจะถูกเพราะมองไม่เห็นด้วยตาเนื้อ หากจะเป็นอัตตาก็ไม่น่าจะผิด มิฉะนั้น เมื่อทำดีจนบรรลุพระนิพพาน ผู้บรรลุเป็นอนัตตา ชักจะงงอยู่นา หรือถ้าทำชั่ว ทำเลว ตกอเวจีมหานรกล่ะ อัตตาหรืออนัตตา นรก มันน่าจะเป็นอัตตา

สรุป

คำว่า อัตตา หรือ อนัตตา สองคำที่ทุ่มเถียงอยู่นี้ ไม่สามารถลดศักดิ์ของพระนิพพานลงได้ พระนิพพานยังคงเป็น เป้าหมายสูงสุดของ ผู้ปฏิบัติธรรม

ภูเขาทองนั้น มีบันไดขึ้น 2 ทาง ด้านหนึ่งอยู่ทางกรมโยธาธิการ ด้านหนึ่งอยู่ทางเขตสังฆาวาส บันไดทั้ง 2 สามารถ เดินขึ้นไปไหว้พระบรม สารีริกธาตุ บนภูเขาทองได้ฉันใด ก็ฉันนั้น พระนิพพานจะเป็นอัตตาหรืออนัตตา พระนิพพานก็คงจะสภาวะเป็นพระนิพพานอยู่นั่นเอง

เรามาพิสูจน์พระนิพพานว่าเป็นอัตตา หรืออนัตตาด้วยการปฏิบัติธรรม จะดีกว่ากดปุ่มคอมพิวเตอร์หาพระนิพพานกระมัง

[หน้าหลัก] [หน้า1] [วิวาทะ] [สกู๊ปพิเศษ]

1