ปีที่ 2 ฉบับที่ 630 ประจำวันจันทร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2542
หน้า 1
พระนิพพาน "อัตตาแท้"
อวิชชาอย่าเหมา ผสมโรงไตรลักษณ์
ถอดอนัตตาลงเหว
ลูกศิษย์พระพุทธเจ้า ไม่ติดยึดบุคคล ไม่ติดยึดยศฐาบรรดาศักดิ์ ไม่ลุ่มหลงในตำรา แต่จงน้อมนำคำสอนของพระพุทธองค์ไปปฏิบัติ เพื่อให้รู้แจ้งถึงมหาสมบัติพระนิพพาน
คณะกรรมาธิการศาสนาฯ โดยนายเด่น โต๊ะมีนา ประธานคณะกรรมาธิการฯ มีความมุ่งมั่นที่จะสะสางปัญหาวัดพระธรรมกาย โดยรับ แนวทางของพระธรรมปิฎก และนายเสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต ที่ว่าพระนิพพาน ซึ่งเป็นยอดพระพุทธศาสนา เป็นอนัตตา สวนกระแส วัดพระธรรมกาย และสายวัดปฏิบัติอื่น ถือจุดยืนว่า พระนิพพานเป็นอัตตา
การจุดกระแสปกป้องพระพุทธศาสนาของนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง เจ้าของรายการตามหาแก่นธรรม ประกาศให้พุทธศาสนิกชน เผาตำรา ที่ยืนยันว่า พระนิพพานเป็นอัตตา โดยไม่รอผลการวินิจฉัยของ คณะกรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) ขณะที่นายเสฐียรพงษ์ วรรณปกเอง ประกาศว่า ผู้ที่นับถือพระนิพพานเป็นอัตตา ไม่ว่าจะเป็นพระสงฆ์หรือบุคคล ให้ไปตั้งลัทธิใหม่ อย่าตู่พุทธศาสนาด้วยการนุ่งห่มเหลือง
รายงานข่าวแจ้งว่า การรวมตัวของกลุ่มบุคคลเหล่านี้ โดยเฉพาะสื่อมวลชน และพระภิกษุบางรูปที่รับนิมนต์ไปร่วมเสวนา รายการของสื่อ มวลชนที่ไม่มีความเป็นกลาง และมีจุดมุ่งหมายในด้านงานข่าวที่จะล้มวัดพระธรรมกาย เพื่อผลทางธุรกิจขององค์กร จะนำมาซึ่งปัญหาแห่งความ มั่นคง ตามที่สื่อมวลชนและกลุ่มบุคคลเหล่านั้นกล่าวอ้าง
ผู้ปฏิบัติธรรมที่มีความศรัทธาพระนิพพานเป็นอัตตา เปิดเผยว่า ไม่อยากให้มีความขัดแย้งทางความคิดเกี่ยวกับ เรื่องพระนิพพาน มองว่า ผู้ที่ออกมาพูดถึงเรื่องพระนิพพาน เป็นบุคคลที่ไม่เข้าใจในหลักของพุทธศาสนาว่า มีความสำคัญอย่างไร มีแก่นแท้อย่างไร สามารถน้อมนำ ส่วนดีของพุทธศาสนา มาเป็นเครื่องนำทางชีวิตได้อย่างไร
"หากพระนิพพานคือสถานที่ซึ่งมีความสุขปราศจากทุกข์ กองกิเลส นิพพานัง ปรมัง สุขัง บุคคลที่เข้าถึงพระนิพพานได้ ต้องปฏิบัติตาม แนวทางของพระพุทธเจ้า เหมือนการเดินทางไปสู่ ณ จุดหมายใดจุดหมายหนึ่ง หากนั่งนอน เพ้อฝันไปว่า จะไปให้ถึง แต่ยังติดอยู่ความสุข ความเกียจคร้าน เดินก็ไม่ยอมเดิน วิ่งก็ไม่ยอมวิ่ง มีรถยนต์ เครื่องบินมารับถึงที่ ก็ไม่ยอมไป แต่ปากก็พร่ำอยากจะไปแต่พระนิพพานๆ แล้วเมื่อไหร่ จะไปถึงที่หมาย เช่นเดียวกับบุคคลที่ออกมาพูดถึงพระนิพพาน แต่ไม่ยอมลงมือปฏิบัติ เมื่อไหร่จะ "เกิดมรรค เกิดผล" ผู้ปฏิบัติธรรมกล่าว
พระภาวนาวิสุทธิคุณ ปฐมเจ้าอาวาสวัดธรรมกายาราม อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี แสดงธรรมพระนิพพานตอนหนึ่งว่า พระนิพพานใน ความหมายอันเป็นที่เข้าใจธรรมดาทั่วไป ในหมู่พุทธศาสนิกชน ผู้สนใจการศึกษาปฏิบัติธรรมว่า หมายถึงการดับกิเลสเหตุแห่งทุกข์ กองทุกข์ กองทุกข์ก็ดับ พระนิพพานเป็นโลกุตตรธรรม เป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนา เพราะฉะนั้น ไม่ว่ามนุษย์หรืออมนุษย์ จึงต่างปรารถนา นิพพานทั้งสิ้น แต่จะรู้จักนิพพานเพียงใดนั้น มีอยู่แต่ในพระพุทธศาสนาเท่านั้น เพราะว่าสัตว์โลกใดๆ ก็ตาม ย่อมไม่ปรารถนาทุกข์ ย่อมปรารถนา แต่สุขอันถาวรด้วยกันทั้งสิ้น แต่สภาวะที่ตนปรารถนาอันยั่งยืนนั้น ใครจะรู้จักดีแค่ไหนอย่างไรนั้น มีอยู่แต่ในพระพุทธศาสนาเท่านั้น ในความหมาย
โดยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ แล้วได้นำออกเผยแผ่ แต่ความเข้าใจในพระนิพพาน ก็อาจ จะเป็นที่เข้าใจแตกต่างกันไปบ้าง จะเรียกว่าผิดหรือเรียกว่าว่าถูกไม่ได้ เพราะว่าผู้ที่กำลังคิดว่า อะไรจะผิดอะไรจะถูก คือผู้ที่ยังไม่ได้พระนิพพาน อย่างแท้จริง ถ้าได้แล้วไม่ต้องคิด จะรู้ได้เลยว่า อะไรผิดอะไรถูก อาตมาก็ตกอยู่ที่นั่งนั่นเช่นกัน แต่ด้วยคำแนะนำสั่งสอนของ ครูอาจารย์ด้วย การศึกษา ในหลักปริยัติ ประกอบด้วยประสบการณ์ จากธรรมปฏิบัติ ซึ่งอาตมภาพได้รับมาแต่เพียงเล็กน้อย แต่อาศัยประสบการณ์จากหลายๆ ท่าน มารวมกันเข้าแล้ว จึงนำมาสู่ท่านทั้งหลาย
โดยจะแยกแสดงถึงความหมายของพระนิพพาน โดย 3 นัย ซึ่งบางท่านอาจไม่เคยได้ยิน เพราะเคยได้ยินแต่นัยเดียว คือสภาวะของ พระนิพพาน แต่อาตมาจะนำมากล่าวทั้งสภาวะนิพพาน 1 ผู้ทรงสภาวะนิพพาน 1 และอายตนะนิพพาน ซึ่งเป็นที่สถิตของพระนิพพานอีก 1 แปลว่าจะพูดกัน 3 นัย ซึ่งไม่มีความแตกต่างใดๆ รวมแล้วก็เป็นสภาวะของนิพพานทั้งหมด แต่แจกแจงให้เห็น ที่เป็นสภาวะล้วนๆ กับผู้ทรงสภาวะ และที่สถิตอยู่ของผู้ทรงสภาวะนั้น ซึ่งทั้งหมดนี้ก็มีอยู่ในพระไตรปิฎก
1. สภาวะนิพพาน จะแบ่งประเด็นที่พูดเป็น 4 ประเด็นสำคัญ ตามหลักฐานที่ปรากฏอยู่ และเชื่อถือได้ โดยเฉพาะพระไตรปิฎก และผู้อธิบาย พระไตรปิฎก ดังเช่น พระพุทธโฆษาจารย์ ที่เราถือว่าเป็นพระอรหันต์ นั่นคือพระอรรถกถาจารย์
สภาวะนิพพานในประเด็นที่ 1 เป็นสภาวะที่ว่าคือ ไม่มีหรือพ้นไปแล้ว หรือปราศจากแล้วจากกิเลส อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ซึ่งเป็นเหตุ แห่งทุกข์ทั้งหลายนี้ ตรงกับคำว่า "สุญฺญํ" หลายท่านอาจเคยได้ยินว่า "สุญฺญตา" บ้าง หรือ "นิพฺพานํ ปรมํ สุญฺญํ" บ้าง มีเอกสารที่แสดงไว้อย่างชัดเจน อยู่ในพระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต มหาวรวรรค เวรัญชสูตร ว่าด้วยพระพุทธองค์แก้ข้อสงสัยของเวรัญชพราหมณ์ ข้อที่ 101 และในอรรถกถาธรรมบทก็ได้อธิบายไว้ว่า
"สุญฺญโต อนิมิตฺโต จ" ดังนี้ เพราะว่าบทเหล่านั้น แม้ทั้ง 3 ก็เป็นชื่อแห่งพระนิพพานนั่นแหละ จริงอยู่ พระนิพพานเป็นธรรมชาติชื่อว่าว่าง เพราะไม่มีราคะ โทสะ โมหะ และพ้นแล้วจากราคะ โทสะ โมหะ เหล่านั้น เพราะเหตุนั้น พระนิพพานนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า สุญญตวิโมกข์ จากบาลีพุทธภาษิต และอรรถกถาจารย์ได้อธิบายไว้คำว่า นิพพานว่างอย่างยิ่ง นิพฺพานํ ปรมํ สุญฺญํ มีอยู่ในคัมภีร์มหายาน แต่ในคัมภีร์ เถรวาท จะพูดเกี่ยวกับ สุญญตวิโมกข์ แต่มีความหมายโดยนัยเดียวกันคือว่าง ว่างอย่างยิ่งบ้าง "ว่าง" นั้นว่างจากกิเลส มี ราคะ โทสะ โมหะ เป็นต้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ว่างจาก อัตตานุทิฏฐิ หรืออัตตาวาทุปาทาน คือความหลงผิดไปยึดมั่นถือมั่นในสังขาร มีขันธ์ 5 เป็นต้น ว่าเป็นอัตตา กล่าวโดยรวบยอดคือ ว่างจากกิเลส ตัณหา อุปาทาน ไม่ใช่ว่างหมายถึง "ไม่มี" เอกสารหลักฐานนั้น แสดงว่าว่างจากกิเลส ตัณหา อุปาทาน
สภาวนิพพานในประเด็นที่ 2 จึงหมายถึง นิพพานนั้น มีแต่สภาวะของนิพพาน ไม่ใช่สภาวะของขันธ์ 5 ซึ่งเป็นสังขารธรรม เมื่อไม่เป็นเช่นนั้น แล้ว นิพพานก็ย่อมมีอยู่ และเมื่อมีอยู่พระพุทธเจ้าท่านแสดงไว้ว่า นิพพานเป็นธรรมสาระ คือ เป็นแก่นเป็นสาร และมีสภาพเที่ยง เป็นสภาวะที่เที่ยง แท้ เพราะไม่ต้องเปลี่ยนแปลงแปรผันไป ตามเหตุตามปัจจัย เป็นสภาวะประเสริฐสุด คือไม่ตกอยู่ในอาณัติแห่งพระไตรลักษณ์
สภาวะนิพพานในประเด็นที่ 3 คือ ตาที่เป็นธรรมชาติ คงที่ อาตมาจะลองถามพระมหาสุเนตร ท่านเป็นเปรียญธรรม 5 ประโยค ใคร่จะเรียน ถามท่านว่า เมื่อพระนิพพานเป็นสภาพว่างจากกิเลส เป็นธรรมสาระ เป็นสภาพเที่ยง เป็นอนัตตาได้ไหม? คือมิใช่สภาพที่เป็นตัวตนได้ไหม
พระมหาสุเนตร สุนีโต ตอบว่า ไม่ได้ (คือไม่เป็นอนัตตา) จะรวมพระนิพพานเป็น สัพเพธัมมา อนัตตา เหมือนธรรมอย่างอื่นๆ ได้อย่างไร
สภาวะนิพพานในประเด็นที่ 4 คือ เมื่อนิพฺพานํ ปรมํ สุญฺญํ ก็กลับเป็นธรรมชาติที่เป็นบรมสุข นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ