ปีที่ 2 ฉบับที่ 626 ประจำวันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2542
วิวาทะ
อานิสงส์วัดพระธรรมกาย บัณฑิตถึงอดเหล้า-ปัดฝุ่น รื้อพระไตรปิฎกพ่นน้ำลาย |
เมื่อวานผมพูดถึงพระนิพพานเป็น "อัตรา" ของกลุ่มคนผู้นิยมชมชื่น หลวงพ่อเงิน ไม่สังกัดวัด ไม่แบ่งแยกสกุลเงิน จะเป็นเงินยูโร เยน ดอลล่าร์ หรือบาท คงเข้าใจสัจธรรมของลัทธิกระหาย "เงิน" ไปบ้างแล้ว
การโจมตีวัดพระธรรมกาย แยกออกเป็นประเด็นใหญ่ คือ 1) เรื่องทางโลก และ 2) เรื่องทางธรรม
เรื่องทางโลกที่กล่าวอ้าง ผมเรียนท่านรัฐมนตรี "อาคม เอ่งฉ้วน" ไปแล้วว่า อำนาจในมือท่าน สามารถดำเนินการได้ทันที อย่าโยนให้เป็น เรื่องของมหาเถรสมาคม (มส.) ความผิดการต้มตุ๋น หลอกลวงประชาชน, ความผิดทำลายความมั่นคงชาติ, ความผิดเรื่องที่ดิน, ความผิดเรื่อง 6 สีกา และการลบหลู่สถาบันเบื้องสูง
ผมไม่อยากเห็นหนังสือพิมพ์พาดหัวข่าวว่า "ตูมตามไล่บี้เถระ ไล่บี้พระพรหมโมลี" คนอย่าง คุณอาคม เอ่งฉ้วน มีดีกรีอะไร และมีอำนาจ อะไร ไปกดดันเคี่ยวเข็ญพระเถระท่าน
สมเด็จพระสังฆราชฯ ท่านก็มีพระบัญชาไว้ชัดเจนแล้ว น่าจะเข้าใจโดยง่ายว่า ความเสื่อมเสียของวัดพระธรรมกาย ที่เกี่ยวข้องกับ คดีความ ทางกฎหมาย รัฐบาลมีอำนาจมีเครื่องมือตรวจสอบ ก็ให้ดำเนินการให้ชัดเจน
คุณอาคมฟังภาษาไทยไม่เข้าใจหรือแกล้ง "โง่" ผมก็ไม่อาจคาดเดาได้ ศุกร์ที่ 19 มีนาคมนี้ มส. จะพิจารณาเรื่องคำสั่งสอน ของวัด พระธรรมกาย ที่ว่า "พระนิพพานเป็นอัตตา" เป็นคำสั่งสอนที่ผิดเพี้ยนหรือไม่
ผมว่าท่านราชบัณฑิต "เสฐียรพงษ์ วรรณปก" คงนั่งเนื้อตัวสั่น พอกับวันที่ท่านหอบสังขารก้าวขึ้นบันไดศาลอาญา รัชดาฯ เห็นภาพคนแก่ หัวหงอกลุกลี้ลุกลน เดินขึ้นศาล ไม่เก็บอาการราชบัณฑิตไว้แม้แต่น้อย
เมื่อวานพูดถึงเรื่องอานิสงส์วัดพระธรรมกาย ไว้หลายแง่มุม ทั้งเรื่องนิพพานเป็นอัตรา (ไม่ใช่อัตตานะครับ) ลืมไปอีกประเด็นหนึ่ง อานิสงส์ ของวัดพระธรรมกายขจรขจายกว้างไกลขนาดไหน
บอกได้เลยว่า เป็นความอัศจรรย์ยิ่งที่ชาวพุทธเรา ซึ่งเกือบหลงลืมแก่นสูงสุดในพุทธศาสนาคืออะไร "นิพพาน" ถูกหยิบยกขึ้นมา พิจารณา กันอย่างกว้างขวาง
สำคัญกว่านั้น คนที่ออกมาพูดเรื่องพระนิพพานมีสภาพสภาวะเป็นอย่างไร ไม่จำกัดวงอยู่แค่เรื่องของพระสงฆ์องค์เจ้า
ราชบัณฑิตน้อยใหญ่ ผู้ร่ำเรียนทางธรรม ก็ถึงขั้นวิ่งไปรื้อตำรับตำรา ปัดฝุ่นพระไตรปิฎก หยิบยก "พระนิพพาน" ออกมาวิพากษ์วิจารณ์กัน นอกกำแพงวัด
บางคนสึกหาลาเพศมาหลาย 10 ปี คลุกเคล้าโลกีย์ พอๆ กับโลกุตระ ที่ตนร่ำเรียนมา ก็ต้องรีบ สำรวม กาย วาจา ใจ
เป็นบุญแท้ หรืออานิสงส์ใด ไม่อาจจะหยั่งรู้ จอมยุทธขี้เมา ยังต้องฝืนจริตสันดาน เลิกดวดน้ำมันสุราเมรัยกับเพื่อนฝูงไปโดยปริยาย แต่จะ แอบไปถองกันในที่ลับๆ ที่ใดที่หนึ่ง ก็ยังดีกว่าเป็นนักเทศน์ในวงเหล่าอย่างที่ผ่านๆ มา
แค่เปรี้ยวปากเล็กๆ ไม่ถึงกับลงแดง ... ภาพความขาวสะอาดมันต้องมาก่อนไม่ใช่หรือ คนเราจะเป็นไม้กวาดลานวัดลานธรรม ถวายตนเป็น ลูกศิษย์พระพุทธเจ้าแล้ว มันต้องทุ่มเททั้งกาย วาจา ใจ
ไม่ใช่ทำลับๆ ล่อๆ เป็นนักสร้างภาพรายวัน นรกจะเป็นเรือนเดือดพล่านพอๆ กับพรายฟองฟูของ "โซดา" แต่มันไม่เย็นซาบซ่าส์ ทำให้เส้น เลือดน้อยใหญ่ดีดดิ้นหรอกครับ
บทลงโทษขี้เมาในคราบนักบุญ คงเหมาะสมเพียงพอกับกรรมชั่วของพวกมิจฉาทิฏฐิประพฤติปฏิบัติกันอยู่
เนี่ยแหละครับที่ผมว่า อานิสงส์วัดพระธรรมกาย
ใกล้เกลือกินเสียจนด่าง พวกแก่ตำรับตำรา คำก็อ้างพระไตรปิฎก สองคำก็กางตำรา มันก็ไอ้พวกมั่วนิ่มทั้งนั้น อย่าดีแต่นั่งไขว่เท้า สั่งสอน พระเณร ส่องกระจกดูสังขารตนเอง ว่ามันเสื่อมมันสลายไปถึงไหนแล้ว ไม่ต้องไปกางตำราให้เมื่อยตุ้ม เผากิเลสอัตตาตนเองได้แค่ไหน สุดท้าย ก็ควรพิจารณากรรมของตนเองที่ผ่านๆมา มีบารมีพอที่จะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกชาติหรือไม่
อย่างเบา ก็เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน
อย่างกลาง ก็ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์ อาจเป็นเจ้าลัทธิถ่อยสัมพเวสีเร่ร่อน
อย่างหนัก ก็ตกนรกอเวจี ชดใช้กรรมไปตามระเบียบของกฏแห่งกรรม
ที่พูดมา ก็ไม่ได้คิดจะพยาบาทสาปแช่งกัน แต่อยากให้ทบทวนตั้งสติ กลับมาเป็นชาวพุทธผู้มีสัมมาทิฎฐิ เป็นที่ตั้ง คงไม่สายเกินไป
โซตัส