ปีที่ 2 ฉบับที่ 626 ประจำวันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2542

หน้า 1

หลวงพ่อวัดท่าซุง ชี้นิพพานเป็นสุข

จะอนัตตาได้อย่างไร

วันที่ 19 มีนาคม ศกนี้ คณะกรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) โดยพระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1 ได้นำข้อกล่าวหาวัดพระธรรมกาย มีคำสอนผิดเพี้ยนเข้าหารือ กรณีพระนิพพานเป็นอัตตา ระหว่างรอคำตอบจากมส. "พิมพ์ไทย" ได้นำหลักธรรมคำสอนของ พระภิกษุสายปฏิบัติ ที่ยืนยันว่า พระนิพพานเป็นอัตตา หรืออนัตตา มาเผยแผ่ให้กับ พุทธศาสนิกชนที่สนใจ ปกป้องพุทธศาสนาได้เข้าใจกันยิ่งขึ้นว่า แก่นสูงสุด ของพระพุทธศาสนาเป็นอย่างไร

โดยฉบับเมื่อวาน ได้หยิบยกพระธรรมเทศนาของพระราชพรหมยาน วัดจันทาราม (ท่าซุง) จ.อุทัยธานี หรือที่รู้จักกันดีในนาม หลวงพ่อ ฤาษีลิงดำ ซึ่งเมื่อวานหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านลิขิตว่า นิพพานัง ปรมัง สูญญัง หมายความว่า นิพพานเป็นธรรมที่ว่างเปล่าจากกิเลส แต่ไม่ได้แปลว่า สูญ มีสภาพเป็นทิพย์ พร้อมกับได้แบ่งแยกขอบเขตของพระอรหันต์ไว้ 4 แบบ รวมถึงอารมณ์ของอรหันต์ตามที่เสนอไปแล้ว

ฉบับนี้มาต่อในเรื่องใจพระอรหันต์ท่านเป็นอย่างไร หลวงพ่อฤาษีลิงดำระบุว่า เมื่อเห็นว่า ร่างกายมันเป็นทุกข์ ท่านถือว่า เป็นธรรมดาของ มัน ทนอยู่กับมันชั่วคราว มันพังเมื่อไรเราก็ไปเมื่อนั้น สบาย มีความสุขเมื่อนั้น มันป่วยไข้ไม่สบาย มันหิว มันกระหาย ก็ถือว่าเรื่องธรรมดาของมัน ทนอยู่กับมัน ขันธ์ 5 มันต้องการแบบนั้น เราอาศัยมันเป็นเรือเป็นรถ รถยนต์ที่เรานั่ง ถ้าไม่มีน้ำมันเครื่อง ไม่มีน้ำมันเผาอุปกรณ์ต่าง ๆ มันไม่ครบ ถ้วน มันก็ไปไม่ได้

เราจะถือว่า รถนี้เป็นของเราก็ไม่ได้ ถ้ารถเป็นตัวเราหรือเราเป็นตัวรถ ก็เสร็จ นี่ไม่ใช่รถ ไม่ใช่เรา แต่เราอาศัยมันเป็นพาหนะเคลื่อนไป เวลามันต้องการน้ำมันเผา ก็หาน้ำมันเผาให้มัน มันต้องการน้ำมันเครื่องก็หาน้ำมันเครื่องให้มัน อุปกรณ์ส่วนไหนสึกหรอ เราเปลี่ยนได้ก็เปลี่ยน จะบูรณะให้เป็นไปตามนั้น แต่ไม่เคยคิดเลยว่ารถนี่เป็นเรา

นี่ร่างกายก็เหมือนกัน มันไม่ใช่เรา มันก็สภาพเหมือนรถ เป็นที่เฉพาะเราอาศัยอยู่ชั่วคราว เคยพูดแล้วว่า เราคือ อทิสสมานกาย เป็นกายที่ เข้ามาสิงอยู่ในกายเนื้อ อาศัยกายเนื้อเป็นเรือนร่างอาศัยชั่วคราว ถ้ากายเนื้อมันพังเมื่อไร เราก็ไปเมื่อนั้น

ความเป็นอรหันต์เป็นของง่าย จะเห็นว่า รูปฌานไม่ใช่ของใหญ่โตเกินไป เป็นแต่เพียงพื้นฐาน เพื่อเข้าถึงสมาธิ และเป็นกำลังวิปัสสนา ไม่หลงรูปฌาน ไม่หลงอรูปฌาน คือ เห็นว่า อรูปฌานไม่ใช่ของวิเศษเกิดไป ยังเป็นปัจจัยให้เกิด แต่เป็นสะพานให้เข้าถึงวิปัสสนาญาณ เราไม่หลง ในอรูปฌาน

มานะ เราไม่ถือตัวถือตนว่า เราเท่าเขา เราเลวกว่าเขา เขาดีกว่าเรา เห็นว่าสัตว์และคนทั้งหมดเกิดมาแล้ว เกิด แก่ เจ็บ ตาย เหมือนกันหมด เมื่อทรงกายอยู่ เต็มไปด้วยความทุกข์เหมือนกัน ไม่ถือตัว เลิกไปไอ้เรื่องการถือตัว เราอาจจะบ่นกับหมา คุยกับหมา หยอกกับหมากับแมวอะไรก็ได้ ใช่ไหม สบายๆ ถือว่าหมูหมาสัตว์เดรัจฉานทั้งหลายเป็นพวกเดียวกับเรา เกิด แก่ เจ็บ ตาย เหมือนกัน นี่บรรดาพระอรหันต์ เขาทำได้สบายๆ

แล้วข้อสุดท้าย ตัดความโง่ คือ ฉันทะ ที่เขาเรียกว่า อวิชชา ราคะ เห็นว่า โลกมนุษย์ก็ได้ เทวโลก พรหมโลกก็ดี สวยสดงดงามไม่มีโลกทั้ง 3 นี้ เราไม่พึงปรารถนา เราต้องการอย่างเดียวคือ พระนิพพาน แล้วก็มีอารมณ์สบายๆ แม้แต่ยังไม่ตาย จิตก็มีความสุข

คือเรามีศีลอยู่แล้ว สมาธิทรงตัวอยู่แล้ว วิปัสสนาญาณปลดเปลื้องร่างกายของเรา ร่างกายของบุคคลอื่น วัตถุธาตุ ขันธ์ 5 คือ ร่างกาย อย่าไป เสียดายมัน มันจะพังเมื่อใดก็เชิญมันพัง เพราะใจเราพร้อมที่จะไปนิพพาน ตัวจิตบริสุทธิ์อยู่ที่นี่

พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า นิพพานัง ปรมัง สุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง แต่ถ้าหากว่าภาวะพระนิพพาน ไม่มีแล้ว จะเอาอะไรมาสุข ใช่ไหม มันไม่มีตัวรับ เมื่อไม่มีตัวรับ เอาอะไรมาสุขกัน ได้คำว่า สุขนี่มันต้องมีตัวรับ

ที่พระพุทธเจ้าบอกว่า พระนิพพานสูญ ก็มีบาลีเป็นพุทธภาษิตอยู่ศัพท์เดียวว่า นิพพานนัง ปรมัง สูญญัง ไอ้ตัวอื่นมันแปลได้ แต่ไอ้ตัวสูญ มันไม่แปล ไอ้คำว่าสูญนี่เขาแปลว่า ว่าง คือ ว่างจากเหตุที่จะเกิดความทุกข์ได้แก่กิเลส ใช่ไหม กิเลส ตัณหา อุปาทาน อกุศลกรรม นี่เข้าไม่ถึงใจพระ ไม่ถึงเขตพระนิพพาน นี่ไม่ต้องพูดถึงตาย เอาแค่มีชีวิตอยู่นี้

[หน้าหลัก] [หน้า1] [วิวาทะ] [สหัสวรรษ] [ปุจฉา]

1