ปีที่ 2 ฉบับที่ 613 ประจำวันพุธที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2542
บทนำ
หยุดความรุนแรง
เราขอให้ผู้ที่ปาระเบิดข่มขู่ มหาบัณฑิต เสฐียรพงษ์ วรรณปก จงหยุดกระทำในลักษณะดังกล่าว เพราะมันไม่เป็นผลดีต่อวัดพระธรรมกาย และความสงบสุขส่วนรวมของประเทศชาติ เอาเสียเลย
อย่างไรก็ตาม เรา "พิมพ์ไทย" ไม่ขอปักใจเชื่อว่า มันเป็นฝีมือของศิษย์วัดพระธรรมกาย โดยเด็ดขาด เพราะท่านธัมมชโย เจ้าอาวาสวัด ท่านก็สั่งสอนลูกศิษย์ของท่านอยู่เสมอๆ ว่า
"เราอย่าไปโกรธเขาหนา"
ความหมายก็คือ ให้ใช้ความอดทน อดกลั้น
ดังนั้นคนที่กระทำด้วยความรุนแรงย่อมไม่ใช่ศิษย์วัดพระธรรมกาย
ที่ล้วนแต่ยึดถือหลักธรรมของพระพุทธองค์
ปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด
สรรพสิ่ง ย่อมมีจุดถึงที่สุด
อย่างกรณีวัดพระธรรมกาย เช่นกัน
เมื่อถึงเวลาก็ต้องมีคำชี้ขาดของมหาเถรสมาคมออกมา
ซึ่งทุกฝ่ายต้องน้อมรับ
ด้วยความเคารพในคำตัดสิน
เพียงแต่จะช้าหรือเร็วเท่านั้น
และก็ต้องขอขอบคุณ มหาบัณฑิต ที่แสดงความเป็นกลาง ยังไม่ฟันธงว่า เป็นฝีมือของศิษย์วัดพระธรรมกาย เพียงแต่ระบุว่า เป็น ... คนห่างวัด
ส่วนจะห่างแค่ไหน ก็ต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจ จะเป็นผู้คลี่คลายและจับมาเข้าคุกให้ได้
และต้องติติงการทำหน้าที่สื่อของ อ.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ที่ออกอากาศทางจอทีวี เมื่อไม่กี่วันมานี้ ในลักษณะที่ไม่ควรประพฤติ เพราะมีการ พาดพิงถึงมหาเถรสมาคม ในแง่ที่เหมาะไม่ควร รวมทั้งกระทบชิ่งมาถึง "พิมพ์ไทย" ด้วย
จงจำใส่กระโหลกเอ็นจีโอ "เทียม" ของเจ้าไว้ การตัดสินวัดพระธรรมกาย เป็นหน้าที่ของมหาเถร ซึ่งแม้แต่นายกรัฐมนตรี ก็ยังยืนยัน ในจุดนี้ ไม่ใช่มนุษย์หัวดำ ถือคติ กิน ขี้ ปี้ ขี้ นอน และบัดเจ็ด เป็นปัจจัย 5 อย่าง มิสเตอร์.เจิม ที่จะไปจาบจ้วง ไล่บี้พระผู้ใหญ่ โบราณว่า นรกกินกบาลเปล่าๆ
ถึงแม้มหาบัณฑิต จะฟ้องร้องดำเนินคดีกับเรา ก็เป็นเรื่องของคดีความที่จะต้องพิสูจน์กัน ในกระบวนการยุติธรรม แพ้ชนะก็อยู่ในเกม
อีกทั้งการนำเสนอข่าวที่แตกต่างกันทางด้านความคิด เราเห็นพระนิพพานเป็น "อัตตา" คุณเห็นเป็น "อนัตตา" เราเห็นว่า วัดดี แต่คุณเห็นว่า ไม่ดี ใครเชื่อฝ่ายไหน ก็หนุนฝ่ายนั้น ... มันก็เท่านั้น ... เป็นเรื่องนานาจิตตัง
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องอย่าลืมว่า ทุกคนต่างก็มุ่งที่จะไปถึงพระนิพพานเป็นที่ตั้ง เพียงแต่ใครจะเดินไปตามถนนสายไหน เพื่อไปให้ถึงฝั่งเท่านั้น จึงไม่จำเป็นต้องไปจุดประกายแห่งความรุนแรงขึ้นเลย มีแต่เปลืองตัวและเปลืองตัว
ก่อนถึงบทสรุป ก็ขอฝากข้อคิดเป็นการบ้าน ความรุนแรงที่เกิดขึ้นนั้น ในเมื่อวัดพระธรรมกาย ดำเนินแนวทางแบบ "อหิงสา" แม้จะมีการ กล่าวหาเจ้าอาวาสโครมๆ มีเมียบ้าง มีกรีนการ์ดบ้าง เป็นปาราชิกบ้าง แต่เจ้าอาวาสวัดก็ไม่ตอบโต้ หรือฟ้องร้องแม้แต่คดีเดียว
ลองหันไปขบคิดในประเด็น "มือที่ 3" หรือผู้ที่ไม่หวังดีต่อพระพุทธศาสนา ดูบ้าง เพราะอาจเป็นไปได้ที่ "ทุนนอก" กำลังดำเนินกลอุบาย ช่วยผสมโรงให้เหตุการณ์บานปลาย ถึงขั้นเกิดความหวาดระแวง อันนำไปสู่
"พุทธ ฆ่า พุทธ" เหมือนกับ ที่อินโดนีเซีย กำลังผจญวิบากกรรมอยู่ในขณะนี้