
เป็นที่ทราบกันดีว่า
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทรงมีพระราชกรณียกิจมาก
ทรงงานหนักตลอดเวลา
แต่ในเวลาว่างจากพระราชกรณียกิจ
ก็ทรงสนพระทัยในกิจกรรมต่าง ๆ
อยู่เสมอ
ด้านการช่าง
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทรงโปรดการช่างเป็นพิเศษ
ในสมัยทรงพระเยาว์
ทรงนำสิ่งของที่เหลือใช้ภายในพระตำหนักที่ประทับเท่าที่จะหาได้
เช่น ไม้แขวนเสื้อ
มาสร้างรถไฟฟ้าเล่น
มอเตอร์ไฟฟ้าสำหรับทำให้รถไฟแล่นก็ทรงประดิษฐ์เอง
โดยเอาลวดทองแดงมาพันเข้าเป็นแกนกลางของเครื่องมอเตอร์
ในพระตำหนักจะเต็มไปด้วยเครื่องมือช่างไม้
เครื่องจักรกล
และสิ่งของที่ทรงสนพระทัย
ทรงเป็นนักประดิษฐ์คิดค้นชั้นเลิศ
เห็นได้จากบทความ
ตามรอยพระยุคลบาท
ของพล.ต.อ.วสิษฐ์ เดชกุญชร
ซึ่งตีพิมพ์ในหนังสือมติชนที่ว่า
ทรงทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทว่า
เฮลิคอปเตอร์ของกรมตำรวจที่ใช้ปฏิบัติหน้าที่สนามนั้น
ไม่มีอาวุธติดกับเครื่องบิน
เพราะเป็นเฮลิคอปเตอร์ธรรมดาสำหรับใช้ขนส่งทั่วไป
เมื่อทรงทราบเช่นนั้นก็ทรงพระกรุณาพระราชทานความคิดให้
ม.ร.ว.เทพฤทธิ์ เทวกุล
ซึ่งเป็นวิศวกร
ไปประดิษฐ์ฐานสำหรับติดตั้งปืนกลติดกับตัวเครื่องบิน
เพื่อให้นักบินสามารถยิงตรงไปทางด้านหน้าได้ด้วย
พระเจ้าอยู่หัวทรงสนพระราชหฤทัยในส่วนประกอบและการทำงานของปืน
M16
ถึงกับได้ทรงผ่าปืนชนิดนั้นออกเพื่อทรงศึกษากลไกและส่วนประกอบของปืน
ต่อมาในไม่ช้า
ก็ทรงสามารถประกอบอาวุธปืนชนิดนั้นได้ด้วยพระองค์เอง
เวลาเสด็จฯ
ไปทรงเยี่ยมหน่วยทหารหน่วยตำรวจและมีผู้ถวายรายงานว่า
ปืนชนิดนั้นชำรุดและไม่สามารถจะซ่อมแซมได้เพราะขาดเครื่องอะไหล่และขาดช่าง
ก็ทรงพระกรุณารับปืนเหล่านั้นไป
และทรงซ่อมด้วยพระหัตถ์
โดยทรงใช้ส่วนที่ยังใช้การได้ดีอยู่ของปืนกระบอกหนึ่ง
ไปซ่อมส่วนที่ชำรุดเสียหายของปืนกระบอกหนึ่ง
ด้วยวิธีนี้
ปืนที่เสียหลายกระบอกจึงกลายเป็นปืนที่กลับดีขึ้นมาอีก
นอกจากอาวุธปืนแล้ว
พระเจ้าอยู่หัวทรงสนพระราชหฤทัยในเครื่องรับส่งวิทยุด้วย
.พระเจ้าอยู่หัวโปรดการทดลองรับส่งวิทยุกับสถานีต่าง
ๆ และเมื่อรู้ว่าโปรด
ก็มีผู้นำเครื่องส่งรับวิทยุมือถือขนาดเล็ก
(ซึ่งเป็นของใหม่และหายากในสมัยนั้น)
ไปทูลเกล้าฯถวายหลายเครื่อง
มีอยู่เครื่องหนึ่งซึ่งผู้ถวายอ้างว่า
ส่วนประกอบภายในของเครื่องนั้นแยกบรรจุเอาไว้ในโมดูลเล็ก
ๆ ซึ่งแข็งแรงและแน่นหนามาก
แม้จะตกน้ำแล้วก็ยังใช้ได้
ผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่า
พอกราบบังคมทูลเช่นนั้น
พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงมีพระราชกระแสรับสั่งให้นำภาชนะใส่น้ำมา
แล้วทรงแช่เครื่องรับส่งวิทยุเครื่องนั้นลงในน้ำทันที
เพื่อจะดูว่า หลังจากแช่น้ำแล้ว
จะยังใช้ได้ดีตามที่กล่าวอ้างหรือไม่
ปรากฏว่า
เครื่องรับส่งวิทยุเครื่องนั้นยังใช้การได้ดีจริง
ๆ
ทรงเรียกเครื่องรับส่งวิทยุเครื่องนั้นว่า
เครื่องแช่น้ำ
นอกจากนี้ยังทรงเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านวิศวกรรมศาสตร์
เกษตรศาสตร์ ตัวอย่างเช่น
โครงการแก้มลิง
การเกษตรแบบทฤษฎีใหม่
ทรงได้รับสิทธิบัตรจากการประดิษฐ์
กังหันน้ำชัยพัฒนา
อันเป็นเครื่องมือในการเติมอากาศออกซิเจนลงในน้ำ
เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ.2536
ซึ่งนับเป็นสิ่งประดิษฐ์เครื่องกลเติมอากาศเครื่องที่
9 ของโลกที่ได้รับสิทธิบัตร
ด้านดุริยางคศิลป์
ทรงได้รับการยกย่องจากคณะกรรมการสำนักงานวัฒนธรรมแห่งชาติ
ประจำปีพุทธศักราช 2529
ให้เป็นองค์อัครศิลปินแห่งชาติ
ทรงแสดงให้เห็นถึงพระอัจฉริยภาพทางดนตรีมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์
โดยทรงได้รับการฝึกหัดดนตรีตั้งแต่พระชนมายุ
10 พรรษา
ทรงนำพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ที่ทรงสะสมไว้ไปซื้อคลาริเนตมาทรงฝึกเป่า
นอกจากนั้นยังสามารถทรงดนตรีอื่น
ๆ ได้อีกหลายชนิด
หลังจากเสด็จขึ้นครองราชสมบัติแล้ว
เมื่อมีเวลาว่าง
จะทรงดนตรีกับนักดนตรี
และข้าราชบริพาร
ซึ่งต่อมาได้ทรงรวบรวมนักดนตรีแล้วจัดตั้งวง
อ.ส.วันศุกร์
โดยทรงร่วมบรรเลงบทเพลงร่วมกับนักดนตรี
ออกอากาศผ่านทางสถานีวิทยุ
อ.ส.ในพระตำหนักจิตรลดารโหฐานเป็นประจำในตอนเย็นวันศุกร์
แต่ต่อมาทรงว่างเว้นการทรงดนตรีลงเนื่องด้วยพระราชกิจ
นอกจากนี้
ยังทรงจัดตั้งวงดนตรี สหายพัฒนา
โดยมีสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ
ทรงเป็นหัวหน้าวง
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทรงพระราชนิพนธ์เพลงด้วยพระองค์เองมาตั้งแต่ปีพุทธศักราช
2489 จนถึงปัจจุบัน นับได้เกือบ 50
เพลง
ซึ่งล้วนเป็นบทเพลงที่ไพเราะและมีความหมายลึกซึ้ง
ในพ.ศ.2507 วงดุริยางค์
เอ็นคิวโทนคุนสเลอร์ ( N.Q. Tonkunstler Orchestra)
แห่งกรุงเวียนนา
ได้คัดเลือกบทเพลงพระราชนิพนธ์ไปบรรเลง
มีการถ่ายทอดสดไปทั่วประเทศออสเตรีย
ปรากฏว่าได้รับความนิยมอย่างสูง
จนสองวันต่อมา สถาบันการดนตรี
และศิลปะแห่งกรุงเวียนนา ( Institute of Music
and Arts of City of Vienna) โดยรัฐบาลออสเตรีย
ได้ทูลเกล้า ฯ
ถวายสมาชิกภาพกิตติมศักดิ์
ลำดับที่ 23 ของสถาบัน
มีการจารึกพระนามลงบนแผ่นหินสลักของสถาบัน
นับเป็นผู้ประพันธ์เพลงชาวเอเชียคนแรกที่ได้รับเกียรติเช่นนี้
ด้านทัศนศิลป์
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงโปรดการถ่ายภาพเป็นอย่างมาก
สมัยทรงพระเยาว์
ทรงซื้อกล้องถ่ายรูปกล้องแรกเมื่อพระชนมายุเพียง
6 พรรษา
เป็นกล้องถ่ายรูปแบบกล้องรุ่นเก่า
แม้ว่าครั้งนั้นจะทรงประสบความล้มเหลวในระยะเริ่มแรก
กล่าวคือ ทรงถ่ายไป 6 ใบ
ได้รูปดีเพียง 1 ใบ
แต่มิได้ทรงย่อท้อ
ทรงศึกษาค้นคว้าต่อมาเรื่อย ๆ
จนกระทั่งทรงกลายเป็นเอตทัคคะในการถ่ายรูป
ทรงโปรดที่จะถ่ายรูปขาวดำมากกว่าอย่างอื่น
นอกจากนี้ยังทรงเป็นช่างภาพของหนังสือพิมพ์
แสตนดาร์ดรายสัปดาห์ภาษาอังกฤษ
โดยได้ทรงพระราชทานภาพฝีพระหัตถ์ให้เป็นระยะ
ๆ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมักจะทรงนำกล้องถ่ายรูปคล้องพระศอ
เสด็จออกตามถิ่นทุรกันดารอยู่เป็นประจำ
จนภาพในหลวงที่มีกล้องคล้องพระศอ
ในพระหัตถ์มีดินสอและแผนที่
เสด็จตามพื้นที่ทุรกันดารต่าง ๆ
เป็นภาพที่คุ้นตาพสกนิกรทุกหมู่เหล่าเป็นอย่างดี
ด้านจิตรกรรม
ทรงสนพระทัยในงานจิตรกรรมมาตั้งแต่ปีพุทธศักราช
2480
และเริ่มทรงเขียนภาพอย่างจริงจังตั้งแต่
พ.ศ. 2502 เป็นต้นมา มีทั้งภาพแบบ
Realistic,Expressionism,Abstractionism รวมประมาณราว 100 ภาพ
โดยได้พระราชทานภาพเขียนฝีพระหัตถ์ของพระองค์เข้าร่วมงานแสดงศิลปกรรมแห่งชาติ
ในพ.ศ.2506 และในปีพ.ศ.2508
มหาวิทยาลัยศิลปากรได้มีมติ
ทูลเกล้า ฯ
ถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์
สาขาจิตรกรรมแด่พระองค์ด้วย
ด้านวรรณศิลป์
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ได้ทรงพระราชนิพนธ์บทความ
และทรงแปลสารคดีที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ
การทหาร
และชีวประวัติบุคคลมากมายหลายเรื่อง
โดย เมื่อปีพ.ศ. 25436
ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ
ให้จัดพิมพ์บทพระราชนิพนธ์
นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ
ซึ่งเป็นการแปลจากหนังสือ A Man Called
Intrepid ของ William Stevenson
โดยทรงใช้เวลาในการแปลถึงเกือบ3
ปี และมีการพิมพ์ซ้ำถึง 9 ครั้ง
จำนวนรวม 90,000 เล่ม ในเวลาเพียง 2
เดือน ต่อมาใน พ.ศ. 2537
ได้ทรงนำบทพระราชนิพนธ์ที่ทรงแปลและเรียบเรียงมานานกว่า
20 ปีแล้ว เรื่อง ติโต
ออกเผยแพร่สู่สาธารณชน และในปี
พ.ศ.2539 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ
ให้จัดพิมพ์หนังสือ พระมหาชนก
ที่ทรงพระราชนิพนธ์จากชาดกในพระไตรปิฎก
โดยได้ทรงกำกับอักษรเทวนาครี
(นอกเหนือไปจากภาษาไทยและภาษาอังกฤษ)
ที่ทรงศึกษาและทรงเขียนขึ้นโดยคอมพิวเตอร์ด้วยพระองค์เอง
เอาไว้อีกด้วย
ทรงมีพระราชดำรัสถึงหนังสือเล่มนี้ว่า
หนังสือเรื่องนี้เป็นที่รักของข้าพเจ้า
ด้านการกีฬา
ในสมัยทรงพระเยาว์
ทรงโปรดฮอกกี้น้ำแข็ง
และสกีหิมะ
จนกระทั่งเสด็จขึ้นครองราชสมบัติ
เมื่อทรงมีเวลาว่าง
ก็จะทรงกีฬาเป็นการออกกำลังพระวรกายและพักผ่อนพระองค์อยู่เสมอ
กีฬาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเล่นนั้น
มีหลายประเภท เช่น แบดมินตัน
เทนนิส ยิงปืน วิ่งเพื่อสุขภาพ
(จ๊อกกิ้ง)
แต่กีฬาที่ทรงเล่นอย่างสม่ำเสมอเรื่อยมาคือ
เรือใบ
ทรงต่อเรือใบเพื่อใช้ทรงด้วยพระองค์เอง
จนเป็นผลสำเร็จ
และได้ทรงนำไปแข่งขันในกีฬาแหลมทองครั้งที่
4 (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น
กีฬาซีเกมส์)
จนได้รับชัยชนะในการแข่งขันเรือใบประเภท
โอ.เค. เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ.2510
ทรงครองเหรียญทองร่วมกับสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ
เจ้าฟ้าอุบลรัตน์ราชกัญญา ฯ
นับเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกในทวีปเอเชียที่ครองรางวัลชนะเลิศในการแข่งขันและเป็นที่ยอมรับในวงการกีฬาเรือใบระดับโลก
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงต่อเรือใบขึ้นหลายลำ
เช่น เรือไมโครมด เรือทัศนวลาลัย
เรือตลกนาวี เป็นต้น
|