เมื่อปี
2541 เศรษฐกิจประเทศไทยภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ(Recession) เกิดภาวะเงินฝืด(Deflation)
เห็นได้จากระดับราคาสินค้าโดยทั่วไปลดลง การผลิตหยุดชะงัก การว่างงานเพิ่ม
กำลังซื้อหด รายได้ประชาชนน้อยลง ประชาชนออมเงินมากขึ้น แต่ทั้งนี้เหตุผลของเงินฝืดไม่ได้เกิดจากวัฏจักรเศรษฐกิจ(ปกติ)
กลับเป็นผลพวงจากวิกฤตการณ์เงินของประเทศ ที่เกิดขึ้นเมื่อกลางปีก่อนหน้า
ทำให้การแก้ไขปัญหาไม่สามารถจะบังเกิดผลได้ในเร็ววัน เพราะสถาบันการเงินถูกปิดไปกว่า
50 แห่ง และที่เหลือดำเนินธุรกิจต่อมาได้ ก็อยู่ในภาวะที่ต้องเยียวยาประคบประหงมกันต่อไป
ความน่าจะเป็นในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ
คือ การแก้ไขปัญหาด้วยการใช้มาตรการคลัง ควบคู่กันไปกับมาตรการการเงิน
และมองปัญหาทั้งองคาพยพ ต้องแกัปัญหาอย่างมีทิศทาง มีกรอบและแบบแผนที่ถูกต้องและปฏิบัติได้ด้วย
การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจด้วยอาศัยนโยบายพักหนี้เกษตรกร รักษาพยาบาลครั้งละ
30 บาท ตั้งกองทุนหมู่บ้านวงเงินหมู่บ้านละล้าน รวมถึงแก้ด้วยการจัดตั้งAMCแห่งชาตินั้นไม่เพียงพอ
รัฐบาลควรดำเนินการทางด้านการคลังและการเงินควบคู่ไปด้วย จึงจะมีหนทางสำเร็จ
การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ
อย่างน้อยควรยึดหลักทฤษฎีลูกโป่งสามลูกสูบ คือ วงกลมสองวง(ลูกโป่ง)ซ้อนกัน
วงในคือ รายได้ที่แท้จริงของประเทศ และวงนอกคือ ปริมาณเงินบาทในระบบ
รัฐต้องดูและให้ทั้งสองวงมีความสัมพันธ์กัน โดยมี 3 ลูกสูบที่ทำให้ลูกโป่งหรือวงกลมวงในโป่งพองหรือยุบลง
และหลักการบริหารวงกลมในคือ ดูแลการจัดเก็บภาษี/รายจ่าย ดูแลการค้าระหว่างประเทศทั้งการนำเข้าและส่งออก
และดูแลภาวะการเงินในประเทศ ซึ่งเกี่ยวกับนโยบายการเงินและการขยายเครดิตสินเชื่อในประเทศของธนาคารพาณิชย์
ทั้งด้านการลงทุนและการใช้จ่าย ซึ่งโดยสรุปแล้วทฤษฎีที่ว่านี้วางกรอบในการประสานนโยบายการเงิน
การคลังและการต่างประเทศเข้าด้วยกัน เพื่อให้ปริมาณเงินสมดุลกับการขยายตัวเศรษฐกิจ
รัฐบาลก่อนหน้า(ชวน หลีกภัย)
ได้ใช้งบประมาณขาดดุล ดังเช่นในปีงบประมาณ 2544 (เริ่ม 1 ตุลาคม
2544) ตั้งงบประมาณรายจ่ายสูงกว่ารายได้ประมาณ 105,000 ล้านบาท
หรือตั้งงบประมาณรายจ่ายไว้ที่ 910,000 ล้านบาท และประเมินรายได้ประมาณ
805,000 บาท ซึ่งส่วนขาดนั้นจะได้รับชดเชยจากการกู้ยืมเงิน และผลของการจัดงบประมาณขาดดุลจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวมได้แม้จะก่อหนี้เพิ่มก็ตาม
การจัดงบประมาณขาดดุลไม่ใช่เครื่องมือเดียวที่จะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่เผชิญอยู่ในขณะนี้
ยังมีภาษีเป็นอีกหนทางหนึ่ง เพราะการลดภาษีคือ การลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน
จะทำให้ประชาชนมีรายได้เหลือเพิ่มขึ้น สามารถบริโภคสินค้าหรือซื้อบริการเพิ่มขึ้น
ก่อให้เกิดการผลิตการจ้างงานเพิ่มขึ้น ดั้งนี้กรณีภาษีมูลค่าเพิ่มที่รัฐบาลได้ประการลดอัตราจากร้อยละ
10 เหลือ 7 และจะครบกำหนดสิ้นเดือนกันยายนศกนี้ (ว่าที่)รัฐบาลใหม่ควรจะประกาศยืดอัตราร้อยละ
7 ออกไปอีกอย่างน้อย 2 ปี ส่วนเงินคงคลัง(กระแสเงินสดรัฐบาล)
นั้นแม้จะได้รับผลกระทบจากมาตรการที่ว่านี้อยู่มาก แต่ก็เชื่อว่าเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวมา
2 ปีติดต่อกันแล้ว ถ้า(ว่าที่)รัฐบาลใหม่มีฝีมือในการบริหารในรอบปีนี้
รัฐคงมีรายได้เพิ่มจากภาษีมูลค่าเพิ่มแน่นอน
ด้านนโยบายการเงินนั้นโดยสภาพความเป็นจริงแล้ว
คงไม่เพิ่มปริมาณเงินทุนหมุนเวียนในระบบ เพราะสภาพแท้จริงปัจจุบันประเทศไทยมีเงินล้นความต้องการ(เกิดจากสภาพบิดเบือน
เพราะแบงก์ปล่อยกู้ไม่ได้ ไม่ใช่ไม่มีผู้กู้) มาตรการการเงินที่สำคัญน่าจะอยู่ที่ควบคุมดูแลปริมาณเงิน
ให้สอดคล้องกับแผนการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และรักษาเสถียรภาพเงินบาทให้ทรงตัวในระดับค่อนข้างอ่อนเล็กน้อย
เพราะจะเป็นประโยชน์ในการระบายสินค้าออกต่างประเทศ สร้างโอกาสในการแข่งขันกับต่างประเทศ
และประโยชน์ต่อรัฐกรณีถือสกุลเงินดอลลาร์ไว้ (ถือไว้เมื่อ 25
บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ,38 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ)
นโยบายตั้งกองทุนหมู่บ้านโดยตั้งวงเงินให้ไม่เกินหมู่บ้านละล้านนั้น
เป็นทิศทางที่ถูกต้อง เนื่องจากเป็นการกระจายรายได้ออกไป ก่อให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
แต่สิ่งหนึ่งที่(ว่าที่)รัฐบาลใหม่ควรคิดและหามาตรการควบคู่ไปด้วยก็คือ
การสร้างอุปสงค์ให้เกิดขึ้นด้วย เพราะการกระจายทุนออกไปก่อให้เกิดการผลิต
จึงควรเปิดตลาดรองรับผลผลิตดังกล่าวด้วย โดยยึดถือหลัก มีทุน
มีกระจายสินค้า และมีการบริโภค และเพื่อให้นโยบายนี้เกิดขึ้นจริงได้ในทางปฏิบัติ
(ว่าที)รัฐบาลใหม่ไม่ควรปฏิเสธการกู้(เพื่อการลงทุนและมีผลตอบแทนเชิงเศรษฐกิจ)
และคำนึงดอกเบี้ยถูกหรือ แพงมากกว่าคำนึงกู้ในประเทศหรือกู้สถาบันการเงินระหว่างประเทศ
ถ้ากู้ก็คงถูกวิพากษ์วิจารณ์บ้างเพราะช่วงหาเสียงบอกชัดไม่สร้างหนี้เพิ่ม
แต่การจะไม่สำเร็จดังที่ประกาศไว้ถ้าไม่หาเงินมาลงทุนมากระตุ้นเศรษฐกิจ
รัฐบาลที่แล้วได้เงินกู้ต่างประเทศและมากระจายลงชนบทเป็นเงินร่วมแสนล้านบาท
และวงเงินที่ยังไม่ได้ใช้ขณะนี้เหลืออยู่ราว ๆ สองหมื่นกว่าล้านบาท
ถ้าไม่หาเงินมาลงทุนเพิ่มโอกาสนจะให้เศรษฐกิจ(รากฐาน)เปลี่ยนแปลงไปในทางบวกน่าจะเกิดขึ้นได้ยาก
หรือไม่อาจเห็นได้อย่างชัดเจนเท่าผลงานของรัฐบาลชวน หลีกภัย
กรณีหากจะกู้ธนาคารพัฒนาเอเชีย(ADB:Asia
Devellop Bank)ก็ไม่เห็นจะน่าอาย เพราะคุณสมหมาย ฮุนตระกูล ขุนคลังแก้วของไทย
ท่ายเคยเป็นที่ปรึกษาของคณะทำงานสหประชาชาติ ในวาระเตรียมการจัดตั้งธนาคารแห่งนี้
และเคยดำรงตำแหน่งผู้ว่าการสำรองของไทยในธนาคารดังกล่าวอีกด้วย
|