ผมไปจีนมาเมื่อปีที่แล้ว ได้เยี่ยมชมพระพุทธรูปองค์สูงที่สุดในจีนมีความสูง 60 เมตร(น่าจะขึ้นบัญชีว่าสูงที่สุดในโลก เพราะสูงกว่าอัฟกานิสถานไปถึง 7 เมตร)แต่อายุจะอ่อนกว่าที่อัฟกานิสถานเป็นพันปี การสร้างในจีนกับในอัฟกานิสถานเป็นเช่นเดียวกัน คือ เจาะภูเขา(ดิน)เข้าไป ในจีนจะขุดดินลงไปลึกลงไปจากระดับผิวดินพอสมควร ส่วนในอัฟกานิสถาน ฐานพระสูงกว่าระดับผิวดิน พระพุทธรูปในจีนแวะนมัสการได้ที่ถ้ำเมาะเกา(เมาะเกา คู) เมืองตุ้นหวง มณฑลก่านสู(อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ "นิราศเส้นทางสายไหม" ยังมีวางตลาดอยู่ขณะนี้)

ภูมิหลังของประเทศอัฟกานิสถานออกจะผิดจากข้อเท็จจริงอยู่บ้าง พลเมืองของประเทศนี้มีหลายเชื้อชาติ หลายภาษา และล้วนแล้วเป็นชาวเขา แต่พลเมืองส่วนใหญ่ที่เรียกว่าอัฟกันแท้ๆนั้น ถือว่าสืบเชื้อสายมาจากบุคคลคนหนึ่ง ชื่อ อัฟกานซึ่งเป็นหลานของซาอูล(Saul) กษัตริย์แห่งชาวยิว(อิสราเอล) ชาวอัฟกันยังเรียกตัวเองว่า"เบนีอิสราอิล" ซึ่งแปลได้ตรงตัวว่า "ลูกของอิสราเอล" ตรงนี้ละครับที่ถึงว่าแปลกไปจากข้อเท็จจริง เพราะภาษาอัฟกันไม่ได้มีเค้าภาษายิวแม้แต่น้อย ภาษากลับใกล้เคียงภาษาอารยันเสียมากกว่า

คนไทยเมื่อพูดถึงชาว "อัฟกัน" ไม่ค่อยมีใครรู้จัก แต่ถ้าพูดว่า "ปาทาน" จะรู้จักมากกว่า คนพื้นเมืองอินเดียเรียก ชาวอัฟกันว่า "ปาทาน" ซึ่งมาจากคำว่า ปุชตุน(Pukhtun) หรือ ปุสตาเนห์(Pushtaneh) ซึ่งเป็นชื่อบุคคลสำคัญคนหนึ่ง นัยว่า ศาสดามุฮัมหมัดเป็นผู้ตั้งให้ ปุชตุนเป็นผู้ไปจาริกแสวงบุญ และศึกษาศาสนาเกิดใหม่(อิสลาม)ที่เมืองเมดินะห ์(อยู่ในประเทศซาอุดิอาระเบีย/ผู้เขียนเคยไปทำงาน อยู่ห่างจากเมืองนี้เพียง 53 กิโลเมตร) เมื่อเลื่อมใสศรัทธาในศาสนานี้ ต่อมาได้กลับไปสั่งสอนเพื่อนร่วมชาติ

ศาสนาพุทธเผยแผ่เข้าไปในอัฟกานิสถาน ตั้งแต่สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช แห่งราชวงศ์เมาริยะ(โมริยะ) ซึ่งครองราชย์เมื่อ พ.ศ. 270 พระองค์เป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดองค์หนึ่งในประวัติศาสตร์ อาณาจักรของพระองค์ มีอาณาบริเวณกว้างขวาง รวมทั้งอัฟกานิสถาน บาลูจิสถาน แคชเมียร์ เนปาล สิขิม อินเดียภาคเหนือ ตั้งแต่แม่น้ำสินธุ ไปจดอ่าวเบงกอล ส่วนทางตอนใต้อินเดียครอบคลุมถึงแม่น้ำกฤษนา

ด้วยเหตุนี้ทำให้แผ่นดินอัฟกานิสถานมี โบราณวัตถุและโบราณพุทธสถานหลงเหลืออยู่มาจนถึงปัจจุบัน (แต่ไม่หลงเหลืออีกต่อไปแล้วนับจากนี้) พิพิธภัณฑ์ในนครคาบูลได้เก็บสะสมรูปปั้น ศาสนาพุทธในสมัยกรีก(Greco Buddhist) ไว้จำนวนหนึ่ง ซึ่งล่าสุดได้ข่าวว่าถูกทำลายทิ้งทั้งหมด (ดูตัวอย่างจากภาพประกอบเว็บเพจนี้) และสิ่งที่ผมรู้สึกห่วงใยที่สุดก็คือ ไม่รู้ว่าทุกวันนี้ชาวพุทธยังหลงเหลืออยู่ในอัฟกานิสถานมากน้อยเพียงใด และเขาเหล่านั้นจะปลอดภัยหรือไม่ เพราะทราบว่ารอบนอกนครคาบูล ยังมีชุมชนชาวพุทธอยู่(ข้อมูลปี 2521)

อัฟกานิสถานเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบกษัตริย์ มาเป็นสาธารณรัฐเมื่อ ปี 2516 จากการยึดอำนาจของพลโท โมฮัมเหม็ด คาอุ ข่าน ซึ่งต่อมาได้รับการเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี และนายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศ ตลอดระยะที่ผ่านมาประเทศนี้ สูญเสียอำนาจปกครองเด็ดขาดหลายครั้ง บ้างอยู่ภายใต้อาณัติของอังกฤษ บ้างขึ้นกับสหภาพโซเวียต และหลังสงครามเย็บสงบลง ก็ไม่ทำให้การเมืองการปกครองมีเสถียรภาพได้ มีการแตกแยก แบ่งเป็นก๊กเป็นเหล่า ต่างแย่งชิงอำนาจกัน และกลุ่มที่คนไทยอาจคุ้นชื่อกันดีคือ กลุ่มมูจาร์ฮีดีนนั่นเอง แต่ปัจจุบันนี้ กลุ่มที่ยึดพื้นที่ได้ราว 95 % ของพื้นที่ทั้งหมด คือ กลุ่มทาลีบัน ภายใต้การนำของนายมัลลาห์ โมฮัมเหม็ด โอมาร์ กลุ่มนี้มีนักศึกษาร่วมกลุ่มด้วย

มัลลาห์ โมฮัมเหม็ด โอมาร์ ผู้นำหนุ่มแห่ง "กันดาฮาร์" (Kandahar) ดูเหมือนจะเป็นคนลึกลับ ไม่เฉพาะแต่โลกภายนอกเท่านั้น ยังจะดูลึกลับสำหรับชาวอัฟกันด้วย มีเสียงเล่าลือว่าเขาเสียดวงตาไปข้างหนึ่ง ในสมัยต่อต้านกองทัพสหภาพโซเวียต เขาเกิดเมื่อปี พ.ศ. 2505 ณ เมืองอูรูซกัน(Uruzgan) เรียนหนังสือโรงเรียนมุสลิมที่ประเทศปากีสถาน ก่อนที่จะเข้ามาร่วมกองกำลังจีฮาจในปี 2523 ชายผู้นี้เชื่อว่ามีประสงค์จากพระผู้เป็นเจ้า ให้ตนเป็นผู้นำปลดปล่อยอัฟกานิสถาน และนำสันติภาพมาสู่ดินแดนแห่งนี้

ในบัญชีต่างประเทศระบุว่า เขาได้รับการหนุนหลังจากหน่วยงานลับปากีสถาน ส่วนฝ่ายปฏิปักษ์ของเขาก็คือ รัฐบาลรัฟบานี มัลลาห์ มัลลาห์ถูกกล่าวหาจากฝ่ายตรงข้ามว่า เขาไม่มีความรู้อะไรเกี่ยวกับอิสลามเลย และความจริงแล้วเขาทำหลายสิ่งหลายอย่างที่ผิดกฎเสียด้วยซ้ำ อ้างว่าเกี่ยวพันกับสิ่งผิดกฎหมาย อาทิ ค้าฝิ่น เป็นต้น

วันที่ 3 เมษายน 2539 มัลลาห์ โมฮัมเหม็ด โอมาร์ ได้รับการเชิดชูให้เป็น "อัมมิรูล มูมินีน" (ผู้นำสูงสุดมุสลิม) หากจะวิเคราะห์ตามรูปการณ์แล้ว มัลลาห์ โมฮัมเหม็ด โอมาร์ น่าจะก้าวขึ้นสู่ทำเนียบผู้นำมุสลิมอัฟกานิสถานได้ นอกจากจะผ่านสนามรบอย่างโชกโชนแล้ว อาจเป็นเพราะ เขามีแนวคิดยืนหยัดให้สังคมมุสลิมอัฟกันปัจจุบัน กลับไปดำรงวิถีแบบมุสลิมโบราณ โดยเคร่งครัดเป็นที่สุด เขามีความมุ่งมั่นที่จะขจัดวัฒนธรรมที่แปลกปลอมทิ้ง และปฏิเสธรูปเคารพทั้งหลายทั้งปวง ความจริงแล้วลักษณะนิสสัยของอัฟกัน จะมีความสุภาพอ่อนโยน มีมารยาทในการเป็นเจ้าของบ้านที่ดี มีน้ำใจโอบอ้อมอารีแก่คนแปลกหน้า ทำให้ที่แล้วมาในยามสงบ อัฟกานิสถานจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลกเลยทีเดียว

(อ่านต่อคลิ๊กที่นี่ >

 

 
1