มาตรฐาน"เปรต"

คราวนี้เข้ามาขุดค้นเรื่อง "เปรต"ใน"เปตภูมิ"(เขียนตามต้นฉบับ)บ้าง ซึ่งไตรภูมิพระร่วงว่า เปรตมีอยู่นอกเมืองราชคฤห์ เปรตฝูงนี้เรียกว่า เปรตยมโลกย์ และพวกนี้แบ่งออกเป็น หลายจำพวก บ้างอยู่กลางเขา บ้างอยู่เหนือเขา และบ้างอยู่กลางสมุทร เมื่อเปรตมี "ภูมิ"ของพวกเขาเอง การเป็นอยู่ก็ใช่จะธรรมดา

เปรตจำพวกตรีเหตุปฏิสนธิจะมีปราสาทแก้ว แลมีกำแพงแก้วล้อมรอบ มีคูล้อมรอบ ดูงามนักหนา เปรตระดับนี้ถือว่ารู้พระจตุราริยสัจธรรม มีเครื่องกินดังเทพยดา

เปรตจำพวกหนึ่งมีช้าง ม้า ข้า คน มีคานหามทอง ขี่เที่ยวไปบนอากาศได้ แม้จะดูเข้าท่าสักเพียงใด เปรตเหล่านี้ก็ไม่อาจเทียบ ได้ดุจเทวดาในสวรรค์

เปรตบางจำพวกเมื่อเดือนแรมเป็นเปรต เมื่อเดือนขึ้นเป็นเทพยดา ฝูงเปรตบางจำพวก แฝงต้นไม้ใหญ่ บางจำพวกอยู่แถบที่ราบ ยอมกินสิ่งไม่ดีเป็นอาหารเลี้ยงตน

ในไตรภูมิพระร่วงว่า ฝูงผีเสื้อลางจำพวกอยู่ต้นไม้แลย่อมกินข้าวเป็นอาหาร ฝูงผีเสื้อเป็น ตรีเหตุปฏิสนธิ ก็รู้พระจตุราริยสัจธรรมฯ แลฝูงผีทั้งหลายอยู่ในแผ่นดิน อันเชื่อปีศาจซ่อนตนอยู่ แม้นว่าอยู่ลับต้นไม้ รากไม้ น้อยหนึ่งก็ดี คนทั้งหลายบมิเห็นตัวเขา เลยฯ ฝูงผีเสื้อที่กล่าวถึงนี้ คงไม่ได้หมายถึง "ผีเสื้อ" ที่เป็นแมลงอย่างที่เราเข้าใจ

"ฝูงเปรตแลฝูงผีเสื้อทั้งหลาย เมื่อจะตาย เขากลายเป็นมดตะนอยดำ ลางคาบเป็นตะเข็บ แลแมลงป่อง แมลงเม่า ลางคาบเป็นตักแตนเป็นหนอน ลางคาบเป็นเนื้อแลนกแสกน้อย ดังฝูงนกจิบ นกจาบนั้น ลางคาบกลายเป็นเนื้อเถื่อน ผิแลว่าเขาตายไส้(ไซ้ร) เนื้อเขากลายเป็นดุจดังนั้นทุกเมื่อแลฯ"

เปรตบางจำพวกยืนได้ 100 ปี บางจำพวกยืนได้ 1,000 ปี บางจำพวกยืนชั่วพุทธันดรกัลปฯ เปรตลางจำพวกตัวใหญ่ ปากน้อยเท่ารูเข็มก็มี เปรตบางจำพวกผอมแห้งแรงน้อย กินอะไรก็ไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นน้ำสักหยด หรือข้าวสักหนึ่งเมล็ด ตัวต้นจึงมีแต่หนังหุ้มกระดูก หนังท้องนั้นเหี่ยวติดกระดูก ส่วนกระดูกสันหลังและตานั้นลึกกลวง เหมือนโดนควัก

ตามตำราบอกอีกว่าบรรดาเปรตผอมแห้งแรงน้อยนี้ จะปล่อยผมยุ่งรุ่ยร่ายลงมาปกปาก ไม่มีเสื้อผ้าปกปิดร่างกาย กลิ่นเหม็นสาบ จะทุกข์ทรมาน ร้องไห้ ร้องคราง โหยหิวอาหาร ตลอดเวลา เรี่ยวแรงก็ไม่มี ได้แต่นอนหงาย ส่วนหูนั้นเล่า เหมือนกับได้ยินเสียงคนร้องเรียก ให้กินข้าว กินน้ำอยู่ตลอดเวลา

"ฝูงเปรตทั้งหลายนั้น เขาได้ยินเสียงดังนั้น เขาก็ใส่ใจเขาว่ามีข้าว มีน้ำ จึงเขาจะลุกไปกิน ไส้(ไซร้) ก็ยิ่งหาแรงบมิได้ เขาจะชวนกันลุกขึ้น ต่างคนต่างก็ล้มไปล้มมา และบางคนล้มคว่ำ บางคนล้มหงาย แต่เขาทนทุกข์อยู่ฉันนั้นหลายคาบนักแล แต่เขาล้มฟัดกันหกไปหกมา แลค่อยลุกไปดังนั้น แลเขาได้ยินดังนั้น แลเขามิใช่ว่าแต่คาบเดียวไส้ ได้ยินอยู่ทั้งพันปีนั้นแล "

เปรตผอมแห้งที่ว่านี้ เมื่อคราวที่เป็นคน จะเป็นคนริษยา เห็นคนอื่นรวยไม่ได้ เห็นทรัพย์สินผู้อื่น ก็ใครจะได้ทรัพย์ของผู้อื่นเขา ถึงกับคิดวางแผนจะเอามาเป็นของตน เห็นคนอื่นยากไร้ก็ดูแคลน คนตระหนี่ไม่ให้ทานก็ใช่ เห็นคนอื่นจะให้ทานไปขัดก็ใช่ ฉ้อเอาทรัพย์สินสงฆ ์มาไว ้เป็น ประโยชน์ตนก็ใช่ คนจำพวกนี้ละครับ ตายไปย่อมเกิดเป็นเปรต และเป็นเปรตชั้นเลว

เปรตจำพวกหนึ่งมีตนงามดังทองดังมหาพรหม แต่ปากเป็นหมู มีกลิ่นเหม็น มีหนอนเจาะปาก และหิวโหยตลอดเวลาเช่นกัน พวกนี้เมื่อคราวที่เป็นคน ปากไม่ดี ว่าร้ายครูบาอาจารย์ ว่าร้ายพระสงฆ์ผู้มีศีล ยุยงสงฆ์ให้ผิดใจกัน และที่ว่าตัวงามดังทองก็เพราะ เคยรักษาศีล มาก่อนนั่นเอง

เปรตฝูงผู้หญิงก็มี พวกเปรตหญิงก็เปลือยกายเช่นกัน ลำตัวเหม็นไม่แพ้ชาย คือ เหม็นสาบอยางที่สุด แมลงวันตอมทั่วร่าง ผอมแห้งหิวโซเช่นกัน แม้จะว่ามีของให้กินก็ตาม เปรตพวกนี้จะกินลูกตนเองเป็นอาหาร กินอย่างอื่นไม่ได้ และถึงแม้จะกินลูกตัวเอง ก็ยังหิวโหยอยู่อย่างนั้น เปรตฝูงนี้เมื่อคราวเป็นคน จะทำแท้งให้คนอื่น หรือตั้งใจทำแท้งเอง

เปรตผู้หญิงเมื่อเห็นข้าวเห็นน้ำต่อหน้า เมื่อจะกิน ข้าวกับน้ำจะกลายเป็นอาจมกับเลือด และหนองไป เปรตตัวไหนเห็นผ้าและจะเอามานุ่ง ผ้านุ่งห่มจะกลายเป็นแผ่นเหล็กแดง ไหม้ทั้งตัว เปรตที่โดนอย่างนี้เมื่อคราวเป็นคน จะขัดผัวไม่ให้ถวายอาหาร น้ำ ผ้าผ่อน ทานแก่สงฆ์ และรวมถึงเคยด่าผัวแช่งผัวด้วย

ยังมีเปรตอีกหลายจำพวกครับ กรุณาอ่านต่อในหน้าต่อไป

(HOME) (NEXT)

1