ในการนี้ เครื่องมือควบคุมเงินเฟ้อที่มีประสิทธิภาพที่สุด
ก็คือการกำหนดเป้าหมายเงินเฟ้อ หรือ Inflation Targetingวิธีการดำเนินนโยบายการเงินภายใต้กรอบ
InflationTargeting ของธนาคารแห่งประเทศไทย
หลังจากที่มีการประกาศ เป้าหมายเงินเฟ้อแล้ว ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ทำ
การติดตาม ภาวะเศรษฐกิจ อย่างใกล้ชิดเป็นประจำ และทำการคาดการณ์ตัวเลขเงินเฟ้อที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วง1-2
ปี ข้างหน้า
วิธีคาดการณ์เงินเฟ้อนั้น ธนาคารแห่งประทศไทยได้จัดทำ แบบจำลองเศรษฐกิจขึ้น
ซึ่งเป็นแบบจำลอง ทางคณิตศาสตร์ และมีการคาดคะเนสภาพแวดล้อมต่าง
ๆ เกี่ยวกับเศรษฐกิจ ที่จะเกิดขึ้นในช่วง 1-2 ปี ข้างหน้า
ทั้งปัจจัยภายในประเทศและปัจจัยภายนอกประเทศ รวมทั้งสภาวะเศรษฐกิจของประเทศ
คู่ค้าสำคัญต่าง ๆ และจากแบบจำลองดังกล่าว สามารถคาดคะเนอัตราเงินเฟ้อที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้
หากปรากฏว่าอัตราเงินเฟ้อในช่วงดังกล่าว มีแนวโน้มจะพุ่งขึ้นสูงกว่าเป้าหมาย
ซึ่งแสดงว่าในอนาคต เศรษฐกิจจะมีการขยายตัวสูงเกินไป ธนาคารแห่งประเทศ
ไทยก็จะปรับขึ้นดอกเบี้ย (หรืออีกนัยหนึ่ง ต้องลดปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจลง)
การปรับขึ้นดอกเบี้ยดังกล่าว จะมีผลชะลออัตราการเพิ่มในการลงทุน
และการจับจ่าย ใช้สอยของภาคเอกชน ให้ช้าลงอยู่ในระดับพอดี
ในทางกลับกัน หากปรากฏว่าอัตราเงินเฟ้อ มีแนวโน้มลดต่ำลง จนทำให้เกิดความ
เสี่ยงต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจในอนาคต ธนาคารแห่งประเทศไทยจะต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง
ผู้ตัดสินใจในเรื่องนี้ จะต้องคำนึงถึงผลต่อเงินเฟ้อเป็นสำคัญ
และจะต้องมีความ เป็นอิสระ เด็ดขาดใน การตัดสินใจ มิฉะนั้นจะไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นในการควบคุมเป้าหมาย
เงินเฟ้อได้ ดังนั้น จึงได้มีการ แก้ไขปรับปรุงกฏหมายเกี่ยวกับธนาคาร
แห่งประเทศไทย เพื่อจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาคณะหนึ่งโดยเฉพาะ
เรียกว่า คณะกรรมการนโยบายการเงินให้คณะกรรมการดังกล่าว มีอำนาจหน้าที่
และความรับผิดชอบเกี่ยวกับเรื่องนี้
ข้อดีของ Inflation Targeting ในการกำหนดเป้าหมายเงินเฟ้อ
ธนาคารแห่งประเทศ ไทยเป็นผู้เสนอแนะเป้าหมายทั้งเพดานขั้นสูง
และขั้นต่ำต่อรัฐบาล เพื่อให้รัฐบาลพิจารณา และตัดสินใจกำหนด
อัตราดังกล่าว ดังนั้น เป้าหมายเงินเฟ้อที่จะกำหนด จึงเป็นเป้า
หมายที่สอดคล้องกับความต้องการของเศรษฐกิจ และสังคมในขณะนั้น
มีคณะบุคคลคือคณะกรรมการนโยบายการเงิน เพื่อทำหน้าที่ตัดสินใจ
ที่จะปรับ เปลี่ยน นโยบายการเงิน เพื่อรักษาอัตราเงินเฟ้อในอนาคต
ให้อยู่ในเป้าหมาย ซึ่งคณะกรรมการดังกล่าวจะเป็นอิสระจากรัฐบาล
มีการแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบที่ชัดเจน ระหว่างฝ่ายการเมืองที่เป็น
ผู้กำหนดเป้าหมาย และฝ่ายผู้ปฏิบัติที่เป็นผู้รับผิดชอบ ปฏิบัติให้ได้
ผลตามเป้าหมายนั้น มีความโปร่งใส ประชาชนสามารถทราบเป้าหมาย
ติดตามการปฏิบัติ และคำอธิบายต่าง ๆ อย่างใกล้ชิดทุกขั้นตอน
จึงเป็นกลไกที่ทำให้แน่ใจได้ว่าจะมีการปฏิบัติตามเป้าหมาย
(โปรดอ่านต่อหน้าต่อไป)